เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว (3 เมษายน) Arlene Stringer คุณครูอาวุโสแห่งมหานครนิวยอร์กวัย 86 ปี, อดีตสมาชิกสภาจังหวัดหลายสมัยได้จากไปด้วยโรคร้ายโคโรนาไวรัส ที่รพ.ในนิวยอร์ก...ตายอย่างเดียวดาย-เพราะรพ.ห้ามญาติเข้าเยี่ยมคนไข้โรคร้ายนี้เด็ดขาด...ศพถูกนำไปเก็บในห้องเย็นรวมกับศพอื่นๆ ที่ขณะนี้ห้องเย็นเก็บศพก็มีไม่พอแล้ว จนต้องจัดหาลานใหญ่ที่เปลี่ยนเป็นห้องเย็นเพื่อรวบรวมศพมากมายก่ายกองไว้ด้วยกัน
พิธีศพก็ทำไม่ได้ เพราะทางการก็ขอให้รับศพไปฝังเงียบๆ เนื่องจากอยู่ในช่วงที่ห้ามผู้คนชุมนุมใกล้ชิดกัน (Social Distancing)
ลูกชายของคุณครูอาร์ลีนคือ นายสกอต สตริงเจอร์ ซึ่งปัจจุบันเขาได้รับเลือกเข้ามาอยู่ในตำแหน่งเหรัญญิก (Comptroller) ของมหานครนิวยอร์ก ได้ออกมาให้สัมภาษณ์รายการ Anderson Cooper 360° ทางสถานี CNN ว่า แม่ของเขาต้องตายเช่นเดียวกับชาวนิวยอร์กมากมายที่ต้องสูญเสียสมาชิกอันเป็นที่รักยิ่งของครอบครัว-ให้กับเจ้าวายร้ายโคโรนาไวรัสนี้ ก็เพราะนายโดนัลด์ ทรัมป์ มีมือเปื้อนเลือด
“นายทรัมป์มีเลือดแม่ของผมเปื้อนอยู่เต็มมือของเขา”
นิวยอร์กเป็นเมืองที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของนายทรัมป์ตั้งอยู่เต็มไปหมด แต่นายทรัมป์ก็แพ้การเลือกตั้งปธน.ปี 2016 ที่รัฐนี้ (และที่มหานครแห่งนี้) ให้กับฮิลลารี ทั้งๆ ที่ป้ายชื่อทรัมป์แขวนอยู่บนอาคารชุดหลายแห่งในนครนี้
นายสกอต พูดด้วยน้ำตาถึงความอาลัยที่มีต่อแม่ของเขา ที่สอนลูกตลอดมาให้เชื่อฟังและร่วมมือกับรัฐบาล...ซึ่งเธอก็ได้ฟังนายทรัมป์ออกมาย้ำกับชาวอเมริกันช่วงที่โรคร้ายนี้เริ่มระบาดในจีน (ตอนต้นเดือนมกราคม) ว่า สำหรับอเมริกาแล้ว โรคนี้จะไม่มีทางระบาดได้ในสหรัฐฯ เพราะสหรัฐฯ มีการแพทย์และสาธารณสุขที่ทันสมัยที่สุด “ไม่ต้องห่วง” -สหรัฐฯ จะปราบอยู่หมัดอย่างรวดเร็ว ขอให้ทุกคนจงทำกิจกรรมทุกอย่างตามปกติ
ปลายมกราคม เริ่มมีผู้ป่วยติดโรคนี้ 15 คนในสหรัฐฯ นายทรัมป์ก็ออกมาโทษสื่อที่เริ่มลงข่าวกดดันให้สหรัฐฯ ต้องเตรียมรับมือกับโรคร้ายนี้
ทรัมป์ออกมาตำหนิสื่อ และโจมตีสื่อว่า พยายามลงข่าวให้สังคมอเมริกาตื่นตระหนก เป็นพวกทำลายชาติ-เป็นพวกต้องการโค่นล้มเขาที่ได้รับเลือกตั้งเข้ามา...เพราะสื่อไม่เคารพต่อคนอเมริกันที่ลงคะแนนเลือกเขาเข้ามา-เพราะสื่อต้องการให้เศรษฐกิจอเมริกาพังครืนจากการคาดคะเนว่าสหรัฐฯ จะหนีไม่พ้นการระบาดใหญ่ เพราะสหรัฐฯ ไม่มีการเตรียมตัวใดๆ สำหรับการรับมือต่อโรคร้ายนี้
ทรัมป์ยังโทษพวกเดโมแครตด้วยว่า พยายามทำเรื่องเล็กให้โหญ่โตเกินจริง เพราะโรคร้ายที่กำลังเริ่มระบาดที่จีนนั้น พวกเดโมแครตได้ออกมาเตือนปธน.ให้หาทางวางแผนรับมือให้เพียงพอ-ทรัมป์บอกว่า-มันเป็นการ “กุ” เรื่องไวรัสร้ายและสร้างสถานการณ์ให้ดูเลวร้าย...เพราะทรัมป์พูดอย่างมั่นใจว่า คนที่เพิ่งเริ่มติดเชื้อในสหรัฐฯ จะหายจากโรคนี้ทั้งหมด...และมันเป็นแค่ “flu” เท่านั้น-ไม่ร้ายแรงเลย
เมื่อตัวเลขคนตายเริ่มเป็น 3 หลัก...และเป็น 4 หลัก...จนถึง 5 หลักในรัฐนิวยอร์ก...นายทรัมป์ต้องยอมทำตามแรงกดดันอย่างหนักจากทั้งผู้ว่ารัฐ 3-4 รัฐ (วอชิงตัน, นิวยอร์ก, แคลิฟอร์เนีย, นิวเจอร์ซี, คอนเนตทิคัด เป็นต้น) ให้ประกาศภาวะฉุกเฉิน เพื่อได้งบฉุกเฉินมาจัดการกับวิกฤตที่คนป่วยทั้งรัฐนิวยอร์กขยายเป็นเลข 6 หลัก และอุปกรณ์การแพทย์ในการช่วยชีวิตผู้ป่วยโรคปอดอักเสบร้ายแรงนี้ขาดแคลนอย่างหนักในหลายๆ รัฐ
ทรัมป์โทษรัฐบาลของโอบามา ว่า ไม่ได้เตรียมเครื่องมือแพทย์ (ยารักษาโรค; PPE, เครื่องช่วยหายใจ, น้ำยาฆ่าเชื้อ, เครื่องตรวจวัดคัดกรอง รวมทั้งหน้ากาก) เอาไว้เลย-เขาบอกว่า ตอนเขาเข้ามามีแต่ “empty boxes” ที่ไม่มีอะไรสักอย่าง แล้วสื่อจะมาโทษว่า...เขาล่าช้าในการรับมือกับโรคระบาดใหญ่รุนแรงครั้งนี้ได้อย่างไร
เขาถูกสื่อจี้ให้เขาให้คะแนนตัวเองกับการรับมือกับโรคนี้ ซึ่งเขาบอกว่า ในคะแนน 10 เต็ม...เขาได้ 10 เต็มแน่นอน!
อดีตผู้บริหารของ CDC และองค์กรแพทย์โรคระบาดในสมัยโอบามา รวมทั้งรองปธน.ไบเดน ได้ออกมาพูดถึงการเผชิญกับวิกฤตโรคร้ายระบาดสมัยโอบามา ที่ได้ร่วมมือกับนานาชาติอย่างเป็นหนึ่งเดียวในการสกัดการระบาดใหญ่อย่างได้ผล ไม่ว่าจะเป็น EBOLA, H1N1, MERS
และรัฐบาลของโอบามาได้สอดประสานกับหน่วยงานสาธารณสุขของอเมริกา ที่ได้จัดเตรียมอุปกรณ์การแพทย์อย่างเพียงพอเหลือใช้
แต่อุปกรณ์ต่างๆ เหล่านี้มีอายุการใช้งานซึ่งเมื่อหมดอายุ-ก็ต้องมีการสั่งเข้ามาแทนที่ใหม่...ซึ่งในสมัยของทรัมป์ได้เลิกการสั่งอุปกรณ์ต่างๆ เข้ามาแทนที่ เป็นการตัดลดงบ...ถึงขนาดยกเลิกหน่วยงานสาขาของ CDC ที่มีเจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯ ร่วมมือกับประเทศต่างๆ โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา เช่น ในแอฟริกาหรือในยุโรปตะวันออก และในจีน เพื่อเตือนภัยอย่างด่วน-ต่อกรณีที่มีโรคระบาดในดินแดนที่อาจมีการปกปิดข้อมูลการระบาดหรือการขาดแคลนด้านสาธารณสุขพื้นฐาน
เหตุการณ์ระบาดใหญ่ครั้งนี้เริ่มที่จีน จึงทำให้อเมริกากว่าจะรู้ตัวก็ช้าไป (แม้ว่านสพ.วอลล์สตรีทจะเริ่มรายงานโรคนี้ตั้งแต่อาทิตย์แรกของเดือนมกราคมด้วยซ้ำ) และทรัมป์ได้โทษจีนที่บอกมาช้าด้วย
หลังสุดทรัมป์ได้โทษ WHO ที่ส่งสัญญาณผิดๆ ตอนต้น ทำให้สหรัฐฯ เตรียมรับมือช้า และขู่จะหยุดจ่ายเงินช่วยเหลือ WHO ด้วย...รวมทั้งยังโทษผู้ว่าการรัฐต่างๆ ว่า ต้องทำหน้าที่จัดหาและจัดการตรวจคัดกรองเอง-เพราะมันไม่ใช่หน้าที่ของรัฐบาลกลาง!
เขาโทษคนอื่นๆ ที่ทำให้สหรัฐฯ รับมือช้า และทำให้มีคนตายจำนวนมาก
การเลือกตั้งปธน.เดือนพฤศจิกายนนี้ จะเป็นบทพิสูจน์ว่า คนอเมริกันส่วนใหญ่ยังจะเลือกให้เขากลับมาอีกครั้งหรือไม่