มาตรการสำคัญที่รัฐบาลประกาศใช้เพื่อบรรเทาและป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ หรือ โควิด-19 คือ การให้ประชาชนอยู่แต่ในบ้าน โดยสั่งปิดสถานที่เสี่ยงต่อการแพร่เชื้อซึ่งมีทั้งสถานที่ทำงานและหารายได้ของประชาชน รวมไปถึงสถานศึกษาทุกระดับและสถานรับเลี้ยงเด็ก โดยเบื้องต้นกำหนดระยะเวลาไว้ถึงวันที่ 30 เมษายน ซึ่งหากนับวันที่สั่งปิดห้างร้านในวันที่ 22 มีนาคมเป็นวันแรกของการเริ่มใช้มาตรการดังกล่าว เท่ากับว่าประชาชนทั้งเด็กและผู้ใหญ่ต้องกักตัวอยู่ในบ้านประมาณ 40 วัน
ในช่วง 40 วันนี้ อาจจะเป็น 40 วันอันตรายสำหรับเด็ก ผู้หญิง และกลุ่มเปราะบางอื่น ๆ เมื่อบ้านอาจไม่ใช่ที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน
๐ ความรุนแรงในโรคระบาด : สถานการณ์ทั่วโลก
องค์การยูนิเซฟชี้ว่า อัตราการแสวงประโยชน์และความรุนแรงต่อเด็กมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในช่วงมีที่มีโรคระบาด ตัวอย่างเช่น ในปี พ.ศ. 2557-2559 ที่เชื้อไวรัสอีโบล่าแพร่ระบาดและมีการปิดโรงเรียนในทวีปแอฟริกาตะวันตก พบว่าจำนวนแรงงานเด็ก เด็กที่ถูกทอดทิ้ง เด็กที่ถูกกระทำความรุนแรงทางเพศ รวมถึงการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นพุ่งสูงขึ้นกว่าปกติ โดยประเทศเซียร์ร่าลีโอนพบอัตราการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นสูงกว่าสองเท่าก่อนที่จะมีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสอีโบล่า
ในมณฑลหูเป่ย ประเทศจีน ซึ่งเป็นที่แรกที่ใช้มาตรการปิดเมืองและให้ประชาชนอยู่แต่ในบ้านมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์เพื่อแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 มีรายงานว่าในเมืองหนึ่ง ตำรวจได้รับเรื่องร้องเรียนที่เกี่ยวกับความรุนแรงในครอบครัวเพิ่มขึ้น 3 เท่า เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้ว ซึ่งร้อยละ 90 ของความรุนแรงในครอบครัวที่เกิดขึ้นในช่วงนี้เชื่อมโยงกับสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19
ในหลายประเทศ จำนวนการโทรแจ้งสายด่วนความรุนแรงในครอบครัวมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19เมื่อประชาชนต้องกักตัวในบ้าน สำนักข่าว CNN รายงานว่า เมือง Nassau ในมหานครนิวยอร์ก มีปริมาณการโทรแจ้งสายด่วนเข้ามาเพิ่มร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อน และใน Cincinnati มีปริมาณสายโทรเข้ามาเพิ่มขึ้นร้อยละ 30 เช่นกัน ในแคว้นคาตาลัน ประเทศสเปน พบว่าจำนวนผู้ใช้บริการสายด่วนขอความช่วยเหลือเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 ในช่วงไม่กี่วันหลังมีมาตรการปิดเมือง และในประเทศไซปรัส จำนวนผู้ใช้บริการสายด่วนขอความช่วยเหลือเพิ่มขึ้นร้อยละ 30 ภายในหนึ่งสัปดาห์หลังเจอเคสผู้ติดเชื้อรายแรกในประเทศ
๐ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์กับโรคระบาด
การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เกินความจำเป็นอาจส่งผลให้ความรุนแรงในโรคระบาดเพิ่มขึ้น ในอดีต ความรุนแรงในครอบครัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างชัดเจนช่วงที่เกิดความเครียดและการหยุดชะงักระยะยาวจากวิกฤตการณ์ทางการเงินและภัยพิบัติ และความเครียดมีแนวโน้มจะนำไปสู่การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เพิ่มขึ้น โดยตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ยอดขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสหรัฐพุ่งสูงขึ้นร้อยละ 50 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีงานวิจัยมากมายที่เคยศึกษาถึงความสัมพันธ์ของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กับความรุนแรง เช่น งานของ Norström (2011) พบว่า การบริโภคแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้น 1 ลิตร มีความสัมพันธ์กับการเพิ่มขึ้นร้อยละ 9 ของอัตราการฆาตกรรมในสหรัฐ ทั้งนี้ ข้อมูลจากระบบข้อมูลความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และความรุนแรงในครอบครัว ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (violence.in.th) ระบุว่า สุราและยาเสพติดเป็นสาเหตุอันดับหนึ่งของกรณีความรุนแรงในครอบครัวมาตลอดนับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยเฉลี่ยเกือบสิบปี (2551-2560) พบว่า ร้อยละ 38.5 ของกรณีความรุนแรงในครอบครัวเกิดจากสุราและยาเสพติด
๐ อยู่บ้านปลอดเชื้อ แต่อาจไม่ปลอดภัย
สำหรับประเทศไทย จำนวนผู้โทรเข้าสายด่วนศูนย์ช่วยเหลือสังคม 1300 ด้วยเหตุความรุนแรงในครอบครัวตลอดเดือนมีนาคม 2563 มีทั้งสิ้น 103 ราย ถือว่าลดลงจากเดือนมีนาคมปี 2562 ที่มีจำนวน 155 ราย ค่อนข้างมาก อย่างไรก็ดี ตัวเลขที่ลดลงอาจเป็นสัญญาณอันตรายเนื่องจากสื่อถึงการรายงานเคสที่ลดลง แต่อาจไม่ได้หมายถึงความรุนแรงในครอบครัวที่ลดลง เนื่องจากผู้ที่แจ้งเหตุความรุนแรงในครอบครัวหลายกรณีมักเป็นคนนอก เช่น ครู หรือเพื่อน อย่างเช่นกรณีสายด่วนแจ้งความรุนแรงต่อเด็กในรัฐ Oregon ที่มีจำนวนลดลงกว่าครึ่งหลังจากโรงเรียนถูกปิดเช่นกัน ซึ่งเจ้าหน้าที่กังวลว่าเป็นเพราะการแจ้งที่เกิดจากครูที่โรงเรียนลดลงเนื่องจากเด็กไม่ได้ออกมาพบครู
นอกจากนี้ สถานการณ์โรคระบาดอาจทำให้ผู้ถูกกระทำไม่กล้าออกจากบ้าน หรือเข้าขอความช่วยเหลือจากสถานบริการต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงพยาบาล ซึ่งถือเป็นสถานที่แรกที่ผู้ถูกกระทำความรุนแรงจำเป็นต้องเข้าไปรับบริการ ทั้งเพื่อรับการรักษา และตรวจร่างกายเพื่อเก็บหลักฐานในการดำเนินคดี แต่ท่ามกลางการแพร่ระบาดของโควิด-19 นอกจากประชาชนจะไม่อยากเข้าไปเพราะกังวลต่อความเสี่ยงในการติดเชื้อแล้ว บุคลากรและเครื่องมืออุปกรณ์ในโรงพยาบาลอาจถึงขีดจำกัดจนไม่สามารถรับกรณีที่ไม่เกี่ยวกับการแพร่ระบาดได้เท่าที่ควร ยิ่งไปกว่านั้น บ้านพักฉุกเฉินทั้งของรัฐและองค์กรภาคประชาสังคมอื่นอาจไม่สามารถรองรับเคสใหม่เพิ่มได้เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดภายในสถานที่ซึ่งเดิมทีก็มีความแออัดอยู่แล้ว
หากย้อนกลับไปเมื่อตอนเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ปี 2554 ที่ส่งผลให้ประชาชนต้องติดอยู่ในบ้านเป็นเวลานาน และกิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุกชะงักในวงกว้างเหมือนครั้งนี้ ก็จะพบว่าจำนวนเหตุการณ์ความรุนแรงในครอบครัวเพิ่มขึ้นจาก 943 กรณี ในปี 2553 เป็น 1,075 กรณี ในปี 2554 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 14 ก่อนที่จะลดลงในปี 2555 (901 กรณี) และ 2556 (881 กรณี) ตามลำดับ หากพิจารณาว่าการประกาศใช้มาตรการกักตัวอยู่บ้านเพิ่งเริ่มขึ้นตอนปลายเดือนมีนาคม จำนวนกรณีความรุนแรงในครอบครัวที่เข้ามาทางสายด่วน 1300 ก็อาจจะมีเพิ่มขึ้นในเดือนเมษายนนี้ และหากมีการปิดโรงเรียนและสถานที่ต่าง ๆ โดยให้ประชาชนอยู่แต่ในบ้านต่อหลังสิ้นเดือนเมษายน ก็คาดว่ากรณีความรุนแรงในครอบครัวจะเพิ่มขึ้นอีกในเดือนถัดไป
๐ มาตรการเสริมที่รัฐควรจัดให้
หน่วยงานของรัฐแม้จะมีการยอมรับว่ากรณีความรุนแรงในครอบครัวอาจเพิ่มขึ้นในช่วงที่มีการใช้มาตรการกักตัวอยู่บ้าน แต่ที่ผ่านมายังไม่มีการออกมาตรการป้องกันและรับมือความรุนแรงในครอบครัวช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เป็นรูปธรรม โดยคำแนะนำที่ออกมายังคงเน้นไปที่การพึ่งตนเองและหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง เช่น หากิจกรรมทำร่วมกัน ประดิษฐ์สิ่งของและทำอาหาร เป็นต้น โดยยังไม่มีมาตรการจัดการกับความรุนแรงที่เกิดขึ้นแล้ว อย่างไรก็ดี รัฐบาลสามารถมีบทบาทในการป้องกันและรับมือความรุนแรงในช่วงโรคระบาดได้มากขึ้น โดยออกมาตรการเสริมดังต่อไปนี้
1.เพิ่มการประชาสัมพันธ์ช่องทางขอความช่วยเหลือทุกรูปแบบ ทั้งของรัฐ และองค์การประชาสังคมต่าง ๆ ตั้งแต่การโทรศัพท์ ส่งข้อความ แชทผ่านเพจ หรือจดหมาย
2.ขอความร่วมมือโรงแรม หรือโฮสเทล ที่ว่างอยู่เนื่องจากไม่มีนักท่องเที่ยวในช่วงนี้ ในการเป็นที่พักฉุกเฉินสำหรับผู้ถูกกระทำ หรือมีความเสี่ยงที่จะถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัวและไม่สามารถอยู่บ้านได้ เช่น เคยถูกทำร้ายในอดีต
มาตรการกักตัวอยู่บ้านเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยลดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ลดจำนวนผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อได้ แต่หากมาตรการดังกล่าวส่งผลให้เกิดความรุนแรงในบ้านโดยที่ไม่มีมาตรการอะไรออกมารองรับแล้ว มูลค่าความเสียหายของความรุนแรงในครอบครัวที่จะส่งผลให้เกิดปัญหาสังคมในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผู้ถูกกระทำเป็นเด็กแล้ว เช่น การรักษาพยาบาล การบำบัดทางจิตใจ การใช้สุราและยาเสพติด หรือการเข้าสู่วงจรความรุนแรงเพราะประสบการณ์ถูกกระทำในอดีต อาจไม่น้อยไปกว่าความเสียหายจากโรคระบาด
ที่มา - บทความ “ระวังความรุนแรงในโรคระบาด เมื่อ“บ้าน”อาจไม่ใช่ที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน” โดย ดร. บุญวรา สุมะโน เจนพึ่งพร สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ)