"โสภณ องค์การณ์"
สถานการณ์ในบ้านเราเกี่ยวกับการติดเชื้อโรคระบาดโคโรนาไวรัสเริ่มเลวร้ายน่ากังวล เมื่อตัวเลขผู้ป่วยเพิ่มขึ้นทุกวัน ใกล้จะถึง 2 พันราย เสียงเตือน ขอร้อง ขอความร่วมมือให้ประชาชนอยู่ในแต่บ้านไม่ได้ผล เพราะยังมีคนต้องทำภารกิจต่างๆ เพื่อการดำรงชีพ
ภาครัฐ ทั้งผู้ว่า กทม. ยังมีมาตรการควบคุมแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่หนักหน่วงเข้มข้น รัฐบาลก็ยังไม่มีมาตรการจัดการกับการระบาด คุ้มกับการประกาศภาวะฉุกเฉิน
เพราะชาวบ้านดูอย่างไรก็ไม่ฉุกเฉิน ถ้าฉุกเฉินจริง รัฐบาลต้องเร่งจัดตั้งกองทุนก้อนใหญ่เพื่อจัดซื้อ จัดหาเวชภัณฑ์ อุปกรณ์การแพทย์ที่จำเป็น มาให้เพียงพอ ยิ่งทุกชาติที่เผชิญภาวะวิกฤตแข่งกันหาแหล่งซื้อ เรายังคงอะไรแบบละล้าละลัง น่าห่วง
เมื่อเป็นอย่างที่เห็น คำถามยิ่งย้ำซ้ำ “แล้วที่ว่าฉุกเฉินนั้น ใครฉุกเฉินกันแน่”
หลายประเทศไม่จำเป็นต้องประกาศภาวะฉุกเฉินให้ผู้นำประเทศฉกฉวยโอกาสเพิ่มอำนาจให้ตัวเอง ดังเช่นผู้นำฮังการี หรือฟิลิปปินส์ ก็จัดการปัญหาได้ ดังเช่นอินเดีย นิวซีแลนด์ หรือประเทศอื่นๆ ในยุโรป ความสงสัยเรื่อง “เจตนาฉุกเฉิน” จึงมีเหตุผล
มีอำนาจ แต่ไม่ได้ใช้เพื่อผลประโยชน์ของประชาชน ก็เสียของ ไร้คุณค่า!
เมื่อมีเสียงประชาชนถามเรื่องงบกลาง เพื่อจัดหาเวชภัณฑ์ให้แพทย์ และมีคำตอบว่าเงินเหลือน้อย เพราะเอาไปใช้ในโครงการอื่นๆ เยียวยาประชาชน ทำให้รู้สึกแทบช็อก พร้อมมีคำถาม แล้วความยากลำบาก ขาดแคลนในโรงพยาบาล จะมีใครช่วยเหลือ
ใครจะเป็นที่พึ่งแท้จริงของประชาชนในยามนี้ได้ คำรับประกันต่างๆ ไม่น่าเชื่อถือ!
เห็นบรรดาแพทย์ บุคลากรโรงพยาบาลออกมาโอดครวญขอรับบริจาคเวชภัณฑ์ต่างๆ จากประชาชน ดูแล้วเป็นสภาพที่กัดกร่อนความรู้สึกว่าเป็นอะไรๆ ที่สิ้นหวัง
ถ้าประเทศนี้มีวิกฤตขั้นฉุกเฉินจริง ทำไมผู้นำรัฐบาลจึงต้องให้ผู้ว่าฯ กทม. เป็นผู้ประกาศมาตรการต่างๆ ในการควบคุมกิจการภาคประชาชนในเมืองหลวง และมาตรการที่ประกาศ เหมือนกล้าๆ กลัวๆ มีความเกรงอกเกรงใจว่าใครจะได้รับผลกระทบด้านธุรกิจ
และประชาชนผู้เสียภาษี มีรายได้นั่นแหละ คือผู้ต้องจ่ายเพื่อช่วยหมอให้สู้กับการระบาดของโรคร้าย ซึ่งมีข่าวน่าตกใจแต่ละวัน ล่าสุดแพทย์เตือนว่าสามารถอยู่ในอากาศและติดต่อได้ ดังนั้นต้องสวมหน้ากากอนามัย ทุกครั้งเมื่อออกจากบ้าน ถ้าจำเป็นต้องไป
จังหวัดรอบๆ กรุงเทพฯ ได้ประกาศมาตรการควบคุมเข้มข้น ทั้งการปิดสถานที่ต่างๆ การห้ามออกนอกบ้าน ทำให้ดูแปลกประหลาด ทั้งที่เมืองหลวงมีผู้ติดเชื้อมากที่สุด กลับปรากฏว่ามีมาตรการอ่อนระทวยที่สุด การควบคุมไม่ได้ผล จะไม่ไห้คนกังวลได้หรือ
พวกกองเชียร์รัฐบาลยังคงเป็นตัวเหนี่ยวหน่วง อ้างว่าช่วงนี้ประชาชนต้องสามัคคี เลิกกล่าวร้ายตำหนิกันได้แล้ว ต้องเชื่อมั่นในมาตรการของรัฐบาล นั่นนี่โน่น ต่างสรรหาถ้อยคำมาสนับสนุนความรู้สึกโลกสวยในพวกตัวเอง เหมือนเห็นไฟไหม้บ้านก็ยังทำเฉย
ผู้ว่าฯ กทม. ประกาศให้ร้านค้าปิดช่วงเที่ยงคืนถึงตี 5! ชาวบ้านท้วงว่าทำไมต้องปิดช้าขนาดนั้น ทำไมไม่เริ่มปิดตั้งแต่สี่ทุ่ม เพราะช่วงนั้นแทบไม่มีรถวิ่งแล้ว กลัวว่าใครจะขาดรายได้หรืออย่างไร ยังไม่มีใครกล้าประกาศควบคุมการจำหน่ายน้ำเมาต่างๆ ด้วย
เมื่อมาตรการเหยาะแหยะ มีแต่เสียงคำรามของผู้นำรัฐบาลว่า ถ้ายังไม่ได้ผล ก็จะมีหนักกว่าที่เป็นอยู่ รู้หรือไม่ว่าเพื่อนบ้านสั่งปิดประเทศไปหมดแล้ว แต่เรายังให้คนเดินทางเข้าออก ด้วยกฎเกณฑ์ที่คนสงสัยว่าทำแล้วได้ผลหรือไม่ ทำไมการระบาดยังมีเยอะ
การติดเชื้อในโลกใกล้จะถึง 1 ล้านคนแล้ว ผู้นำสหรัฐก็เตือนคนอเมริกันว่าอาจมีคนเสียชีวิตระหว่าง 1 แสนถึง 2.4 แสนคน ไม่ดูเบาอีกต่อไป แต่บ้านเรายังตั้งกรรมการ หน่วยงานสารพัด กลุ่มแพทย์เตือนแล้วเตือนอีก ยกตัวเลขมาให้เห็นถึงขั้นเลวร้ายสุดๆ
คนไทยจะติดเชื้อเป็นแสน นอนโรงพยาบาลเป็นหมื่นๆ คนจะตายเหยียบหมื่น! แต่เหมือนคำเตือนเข้าหูซ้าย ทะลุหูขวา ไม่มีใครรู้สึกถึง “ภาวะฉุกเฉิน” ไม่มี “Sense of crisis” ตระหนักถึงภาวะวิกฤต มีแต่พวกแพทย์ตะโกนเสียงแหบแห้ง แทบหมดแรงสู้แล้ว
มีคำเตือนแล้วว่าถ้าประเทศไทยหลุดจากภาวะหัวเลี้ยวหัวต่อ เข้าสู่สถานการณ์ร้าย ขีดความสามารถของระบบสาธารณสุขของไทยที่ว่าอยู่อันดับ 6 ของโลกนั้น คงต้องเสี่ยงกับภาวะล่มสลาย เมื่อถึงขั้นนั้น จะไม่มีอะไร “เอาอยู่” อีกต่อไป คนจะตายเป็นเบือ
เพียงคนติดเชื้อไม่ถึง 2 พัน คนตายไม่ถึง 20 ยังมีปัญหาขาดแคลนเวชภัณฑ์ต่างๆ ถึงขั้นนี้ เมื่อถึงจุดวิกฤตขั้นนั้น จะมีหายนะแบบไหน แทบไม่ต้องจินตนาการ เว้นแต่พวกทำเป็นทองไม่รู้ร้อน อยู่ในโลกสวย มีความหวังกับพวกสร้างภาพ ความสามารถต่ำต่อไป
เพิ่งประกาศว่าได้จัดงบ 1.5 พันล้านบาทจัดซื้อหน้ากากและเวชภัณฑ์ ประชาชนยิ่งใจหาย รู้สึกหมดหวัง เงินแค่นั้นจะทำอะไรได้ แถมยังอ้างว่าไม่ถังแตก ดูเหลือเชื่อ
ระบบควบคุมจัดการต่างๆ มีแต่ความน่าอับอายขายหน้า และมีเรื่องฉาวโฉ่เกี่ยวกับขบวนการคนเลือดเย็น หากินกับภาวะวิกฤต ใช้เป็นโอกาสทองในการโกยเงิน ความอัปยศเรื่องเซ็งลี้หน้ากากอนามัย ก็เป็นการแก้แบบลูบหน้าปะจมูกไม่น่าเชื่อถือ
เรื่องหน้ากากอนามัยยังไม่ทันหายเน่า ดันมีเรื่องเซ็งลี้ไข่ จนขาดตลาด และเป็นพวกกลุ่มเก่าเจ้าเดิมนักตกปลาในบ่อน้ำขุ่นที่หาจังหวะรวยไม่ต้องมีศิลปะในการเปิบ
ประเทศไทยจึงไม่ขาดพวกกังฉินกินเมือง มีตัวตายตัวแทนสืบทอดความชั่วร้ายเสมอ ล่าสุด มีแว่วเรื่องฉาวโฉ่ ว่ามีคนหากินกับการจัดซื้อชุดตรวจโรคโคโรนาไวรัส มีบางพวกได้รับการอวยให้เป็นผู้จัดหา ต้องรอการตรวจสอบว่าสินค้าได้มาตรฐานหรือไม่
ภาวะวิกฤตอย่างนี้ ควรจะปล่อยให้ใครก็ได้นำเข้าสินค้าเวชภัณฑ์ให้พอเพียง ให้เหลือได้ยิ่งดี ประชาชนจะได้มีหน้ากากอนามัย แพทย์จะได้ไม่ต้องตากหน้าขอบริจาคจากประชาชน แต่กลุ่มคนมีอำนาจยังไม่รู้สึกว่าต้องอายในความไร้ประสิทธิภาพ
ประชาชนไม่กลัวมาตรการคุมเข้ม พร้อมจะลำบาก ถ้าหยุดการระบาดได้ ขออย่าให้มีวาระซ่อนเร้น ถูกสงสัยว่าเกรงใจกลุ่มผลประโยชน์ใด เห็นแล้วไม่ใช่หรือว่าคนดัง เงินเยอะแยะ ยังซื้อชีวิต ขอความเมตตาจากโคโรนาไวรัสไม่ได้ หรือต้องรอให้ถึงพวกตัวเอง
หรือต้องให้เห็นคนล้มตายเกลื่อนท้องถนน เริ่มมีให้เห็นการตายบนรถไฟแล้วนี่!
วันนั้นฉุกเฉินของแท้จะมาแน่นอน ถ้าแพทย์และโรงพยาบาลยังอยู่ในสภาวะขาดแคลนเวชภัณฑ์ ระบบล่มสลาย และประชาชนสิ้นความเชื่อมั่นศรัทธาผู้กุมอำนาจ
ถึงวาระนั้น ใครจะยืนแอ่นอก สู้หน้าประชาชน ประกาศ “ผมรับผิดชอบเอง!”