"โสภณ องค์การณ์"
โคโรนาไวรัส ซึ่งมนุษย์มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น กำลังทดสอบศักยภาพของคนทั้งโลกว่าความพยายามที่จะเอาชนะธรรมชาติครั้งนี้จะต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไหร่ และจะต้องสังเวยอีกกี่ชีวิตพร้อมกับการระดมทรัพยากรที่มีอยู่ เพื่อความอยู่รอด
โคโรนาไวรัสและมนุษย์ ล้วนเป็นผลิตผลของธรรมชาติที่ต้องดิ้นรน
นี่คือภัยที่มองไม่เห็น และแฝงเร้นด้วยอันตรายซึ่งไม่เคยมีครั้งใดที่มนุษยชาติจะมองว่าเป็นการคุกคามอย่างรุนแรง กลายเป็นวิกฤตซึ่งถ้าหากเอาไม่อยู่ อาจถึงขั้นหายนะ ส่งผลกระทบยืดเยื้อ ทำให้ประชากรโลกต้องปรับเปลี่ยนแนวทางดำรงชีวิต
นอกจากจะต้องดิ้นรนหนักเพื่อให้อยู่รอดด้านสุขภาพ วิกฤตเศรษฐกิจก็ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน มีการเปรียบเทียบให้เห็นชัดแล้วว่ามองย้อนกลับไป 100 ปี แทบไม่มีเหตุร้ายไหนอย่างเดียวที่มีความร้ายกาจ รวดเร็ว เฉียบพลัน เทียบเท่าโคโรนาไวรัส
ทั้งการระบาดของไข้หวัดใหญ่ในปี 1918 วิกฤตเศรษฐกิจตกต่ำในปี 1930 และการโจมตีอาคารเวิล์ดเทรดเซ็นเตอร์ ในนิวยอร์ก ถ้าเอาทั้ง 3 เหตุการณ์มารวมกันผลกระทบก็ยังสู้ไม่ได้ เพราะประชาชนที่เกี่ยวข้องโดยตรงมีน้อยกว่า
เพียงแค่การระบาดเริ่มปลายปีที่ผ่านมาจนถึงบัดนี้ เหลือเพียงอีกไม่กี่ประเทศในจำนวนรวม 195 ชาติในโลกที่ยังปลอดการติดเชื้อระบาด คงจะใช้เวลาอีกไม่นานที่โคโรนาไวรัสจะกินรวบ สร้างความตื่นตระหนก และความกลัวตายของคนทั้งโลก
มีหลายพันรายที่ตกเป็นเหยื่อของโคโรนาไวรัส หลังจากการป่วยระยะสั้น ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุในยุโรป แทบไม่มีโอกาสได้สั่งเสีย เพราะตัวเองเป็นพาหะ ต้องถูกปิดกั้นไม่ให้เชื้อแพร่กระจาย แม้แต่แพทย์ พยาบาล บุคลากรยังต้องเสี่ยงชีวิตเช่นกัน
ที่เห็นได้ชัดคือตลาดหุ้น ตลาดการเงิน ตลาดน้ำมัน ตลาดทองคำ และการค้าขาย การบิน การขนส่ง ต้องเสี่ยงกับหายนะ หลายองค์กรต้องเร่งขอความช่วยเหลือจากรัฐบาล สหรัฐอเมริกาคาดว่าขณะนี้ต้องใช้ถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์
ถ้าสถานการณ์ยืดเยื้อกว่านี้ คงต้องใช้เพิ่มอย่างไม่อั้น ยุโรปก็ตั้งงบไว้ 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ หลังจากปิดทวีปแล้ว ยอดการติดเชื้อและเสียชีวิตยังเพิ่มเรื่อยๆ และได้กลายเป็นจุดศูนย์กลางของการระบาดแทนที่ประเทศจีนและเกาหลีไปแล้ว
หลายประเทศอยู่ในสภาวะร่อแร่ ถูกมองว่าไม่ได้เตรียมการไว้รับมือการระบาด โดยเฉพาะยุโรปและสหรัฐ ซึ่งถือว่าเป็นประเทศชั้นนำด้านเทคโนโลยี และวิทยาการต่างๆ ทั้งการวิจัย พัฒนายารักษาโรคด้านการแพทย์ มีอุปกรณ์ทันสมัย
แม้แต่ไข้หวัดธรรมดา โลกตะวันตกยังต้องพัฒนาวัคซีนตัวใหม่อย่างต่อเนื่อง เพราะการกลายพันธุ์ของเชื้อ ยิ่งในสหรัฐถูกซ้ำเติมด้วยโคโรนาไวรัส เท่ากับเป็น 2 เด้ง เป็นการทดสอบว่าสหรัฐและยุโรปจะเก่งกาจกว่าจีน ต้นตอการระบาดหรือไม่
จีนนั้นอยู่ในสภาพ “เอาอยู่” ค่อนข้างเด็ดขาด ได้ส่งความช่วยเหลือทั้งทีมแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญ หน้ากาก และอุปกรณ์ต่างๆ ไปให้อิตาลีต่อเนื่อง เพื่อสกัดการระบาดให้อยู่ และยังช่วยเหลืออิหร่าน เซอร์เบีย รวมทั้งประเทศอื่นๆ ที่ลำบาก
การช่วยเหลือของจีนเหมือนเป็นการ “ไถ่บาป” เพราะเป็นต้นตอ แต่การใช้มาตรการปิดเมือง คุมเข้ม อย่างที่ชาติอื่นทำไม่ได้ ช่วยให้จีนระดมทรัพยากรทุกอย่างทั้งการผลิตอุปกรณ์ทุกอย่างทางการแพทย์ เพื่อช่วยเหลือชาติอื่นๆ อย่างเต็มที่
สหรัฐคงไม่หวังว่าจะได้รับความช่วยเหลือ หรือมีเยื่อใยจากจีน เพราะผู้นำทำเนียบขาว โดนัลด์ ทรัมป์ ยังแสดงท่าทีหยามเหยียดจีนต่อเนื่อง โดยเรียกย้ำชัดเจนว่าโคโรนาไวรัสเป็น “ไวรัสจีน” จากเดิมที่เคยเรียกว่า “ไวรัสต่างแดน”
ความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างสหรัฐและจีนยังร้อนแรง ระบาดไปถึงการเล่นงานองค์กรสื่อ ในสหรัฐก็จำกัดบทบาทต่างๆ ขององค์กรสื่อจีนอย่างเข้ม จีนตอบโต้ด้วยการให้ทีมข่าวสื่อนิวยอร์กไทม์ วอชิงตัน โพสต์ วอลล์สตรีทเจอร์นัล ออกจากจีน
สหรัฐคงไม่อยากเสียหน้า เมื่อเทียบกับขีดความสามารถในการตั้งรับโคโรนาไวรัส ด้วยประชากรไม่ถึง 350 ล้านคน เทียบกับจีน 1.3 พันล้านคน และมีการคาดหมายไว้ว่าคนอเมริกันอาจจะติดเชื้อร้ายหลายล้านคนในอีกไม่นานจากนี้
เมื่อผลกระทบทำให้ธุรกิจต่างๆ แทบหยุดนิ่ง เพียงแต่โลกยังไม่หยุดหมุน เท่ากับว่าธรรมชาติได้เอาคืนมนุษยชาติอีกครั้ง และเป็นครั้งใหญ่ รุนแรงที่สุด ถ้าจะมองแบบบวก นี่คือโลกต้องการเยียวยาตัวเอง ให้มนุษย์หยุดกิจกรรมเชิงทำลาย
เห็นชัดแล้วว่าคุณภาพอากาศในจีนและอีกหลายแห่งทั่วโลกดีขึ้นเมื่อโรงงานพักกิจการ หรือต้องเลิก เครื่องบินลดเที่ยวบินอย่างมาก การใช้รถน้อยลง การเดินทางทั่วโลกลดอย่างมาก การท่องเที่ยวที่หยุดนิ่งทำให้ธรรมชาติฟื้นฟูตัวเองได้
ความโลภ การดิ้นรน แก่งแย่งทรัพยากรด้วยกันของมนุษย์ เป็นการทำลายธรรมชาติจนเกิดภาวะโลกร้อน อากาศเป็นพิษ การปนเปื้อนจากการพิษอุตสาหกรรม รวมทั้งการผลิตอาวุธต่างเพื่อทำลายล้างด้วยการทำสงคราม ทำให้เกิดภาวะเช่นนี้
ป่าไม้ สัตว์น้ำในทะเล ทรัพยากรอื่นๆ ได้จังหวะฟื้นตัว ไม่ถูกทำลายระยะนี้
โคโรนาไวรัสทดสอบมนุษย์ด้านการเห็นแก่ตัว เพราะผู้ชราป่วยหนักไม่ได้รับการรักษาเพื่อสงวนทรัพยากร อุปกรณ์ต่างๆ สำหรับคนอายุน้อยกว่าและยังมีโอกาสรอดไปทำประโยชน์ด้านอื่นๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของโลกทุนนิยม
คนที่มีชีวิตอยู่ในช่วงนี้ และสามารถรอดได้หลังจากการระบาดติดเชื้อสิ้นสุดลงควรมองว่าเป็นความคุ้มค่า และธรรมชาติได้เลือกสรรให้อยู่ต่อไป เพื่อก่อประโยชน์ หรือสร้างผลเสียต่อโลก หรือจะเป็นกรรมเวร ชีวิตร่ำรวย ยากจน ก็สุดแล้วแต่
เป็นเดิมพันสูง ถ้าชนะ คงเหมือนกับให้ทุกคนตั้งต้นใหม่ เศรษฐีเจ้าของธุรกิจต้องลำบากเช่นกัน คนยากจนแทบไม่มีอะไรจะเสีย อาจมองเห็นโอกาสใหม่ๆ ก็ได้
ช่วงนี้ ทุกคนต้องดูแลตัวเอง ครอบครัว เพื่อให้อยู่รอดเท่านั้น