ขณะที่คนทั้งโลกกำลังอยู่ในความกังวลกับการระบาดของไวรัส COVID-19 โดยเฉพาะในยุโรป สหรัฐอเมริกา และกำลังลามไปทวีปอื่นๆ โดยไม่มีหนทางสกัดได้ 2 ชาติมหาอำนาจคือสหรัฐฯ และจีน ก็เปิดแนวรบใหม่ด้านสงครามน้ำลายและสงครามสื่อ
จีนตอบโต้มาตรการก่อนหน้านี้ของสหรัฐฯ ด้วยการสั่งให้ผู้สื่อข่าวอเมริกันสังกัด 3 สื่อใหญ่สิ้นสุดการทำงานในจีน ฮ่องกง และมาเก๊า และอีก 2 องค์กรต้องส่งรายละเอียดด้านการทำงาน และคงจะมีการโต้กลับโดยรัฐบาลสหรัฐฯ อีก
และนี่จะทำให้ความบาดหมางด้านการค้า ความสัมพันธ์โดยรวมของทั้งคู่ยากที่จะเข้าสู่หนทางที่จะเจรจาในรอบต่อไป และประเด็นการระบาดของไวรัส COVID-19 ได้เปลี่ยนแทบทุกอย่าง ทุกมิติ ด้านนโยบายการเมือง การค้า และการดำรงชีวิตของมนุษย์
ผู้นำทำเนียบขาว โดนัลด์ ทรัมป์ มองจีนว่าเป็นศัตรูสำคัญของสหรัฐฯ ได้เปิดฉากสงครามการค้าโดยตั้งกำแพงภาษีกับสินค้าจีนในกว่า 1 ปีที่ผ่านมา นำไปสู่การตอบโต้ด้วยมาตรการต่างๆ เจ็บตัวทั้งสองฝ่ายยังไม่พอ ทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกกระเทือนไปด้วย
ยังไม่ทันที่จะเข้าสู่สภาพปกติ ก็มีเรื่องการระบาดของไวรัส COVID-19 เริ่มต้นในเมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย และสถานการณ์เข้าขั้นวิกฤตทั้งการระบาดอย่างรวดเร็ว คนเสียชีวิตทำให้รัฐบาลจีนต้องประกาศปิดเมืองอู่ฮั่น ปิดทั้งมณฑล และแทบปิดทั้งประเทศ
จีนใช้เวลาและมาตรการเข้มกว่า 1 เดือน จนสามารถคุมสถานการณ์ได้ แต่ก็หลังจากที่เชื้อโรคได้ระบาดไปหลายประเทศในเอเชีย และลามไปสู่ทวีปอื่นๆ จีน และเกาหลีซึ่งเป็นแหล่งการระบาดหนักในเอเชีย ทำให้การระบาดลดลงได้ในระดับน่าพอใจ
แต่ไวรัส COVID-19 ไปออกฤทธิ์หนักในยุโรป และสหรัฐฯ และภูมิภาคอื่นๆ ตัวเลขผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตมากกว่าในประเทศจีน และทำให้โลกตะวันตกกำลังวิตกว่าจะเอาไม่อยู่ เพราะยุโรปถึงขั้นปิดทวีป สหรัฐฯ ปิดประเทศ และหลายประเทศใช้มาตรการเข้มต่างๆ กัน
แต่สหรัฐฯ โดยผู้นำทำเนียบขาวยังไม่หยุดหาเรื่องจีน การพูดถึงไวรัส COVID-19 ทรัมป์จะบอกว่า “ไวรัสต่างแดน” ในช่วงแรก แต่ 2-3 วันที่ผ่านมา ทรัมป์ใช้คำว่า “ไวรัสจีน” ทำให้รัฐบาลจีนเดือดเป็นฟืนเป็นไฟ เจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศโต้ว่าไวรัสเริ่มในสหรัฐฯ
พร้อมกับอ้างว่าผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันการระบาด นายโรเบิร์ต เรดฟิลด์ ได้เคยให้ปากคำต่อการไต่สวนว่าผู้เสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่ในประเทศมีเชื้อไวรัส COVID-19 ด้วย ทำให้เป็นหลักฐานย้ำ จีนอ้างว่าทหารสหรัฐฯ เป็นพาหะในงานแข่งขันกีฬาในเมืองอู่ฮั่น
สงครามน้ำลายยังเป็นไปอย่างเผ็ดร้อน ไม่มีใครยอมใคร และจีนมองว่าสหรัฐฯ กำลังอยู่ในภาวะลำบากในการตั้งรับและสกัดการระบาดของไวรัส COVID-19 และไม่แสดงท่าทีว่าจะให้ความช่วยเหลือ ไม่ว่าจะเป็นด้านใดก็ตาม เพราะสหรัฐฯ โทษจีนต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน จีนให้ความช่วยเหลือชาติอื่นๆ ที่มีการระบาดหนัก เช่น อิตาลีและอิหร่าน ส่งเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญ อุปกรณ์ทางการแพทย์ มีประสบการณ์ไปช่วยเต็มที่
ทรัมป์เปิดฉากสงครามกับองค์กรสื่อ ด้วยการให้สำนักงานสื่อของจีนเข้าข่ายเป็นองค์กรของรัฐ จำกัดจำนวนพนักงานชาวต่างชาติที่ทำงานให้ 4 ใน 5 ของสำนักข่าวของจีน สร้างความลำบากให้สำนักข่าวและทีมงานของจีน เพราะดูว่าเป็นการกลั่นแกล้ง
และนั่นก็เป็นอีกช่องทางที่ทรัมป์พยายามเล่นงานจีน นอกจากสกัดธุรกิจของบริษัทหัวเว่ย และบริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ ของจีน และกดดันให้พันธมิตรในยุโรปทำตามด้วย แต่ไม่สำเร็จ หลายประเทศให้หัวเว่ยเป็นคู่สัญญา ยิ่งทำให้ทรัมป์ไม่พอใจยิ่งขึ้น
วันพุธที่ผ่านมา รัฐบาลจีนโต้กลับในแนวสงครามสื่อด้วยการสั่งให้ผู้สื่อข่าวของนิวยอร์ก ไทมส์ วอชิงตัน โพสต์ และเดอะวอลล์สตรีท เจอร์นัล ให้ส่งคืนหนังสือรับรองการทำงานสื่อภายใน 10 วัน ถ้าวีซ่าให้ทำงานในประเทศสิ้นสุดในสิ้นปี 2020
นอกจากห้ามทำงานในจีนแผ่นดินใหญ่แล้ว ผู้สื่อข่าวของทั้ง 3 สื่อใหญ่ยังไม่ได้รับอนุญาตให้ทำงานในฮ่องกง มาเก๊า ซึ่งเป็นเขตปกครองพิเศษของจีนอีกด้วย เท่ากับว่าเป็นการปิดเส้นทางในการทำงานในอีก 2 แห่งซึ่งเป็นฐานหลักของสื่อต่างประเทศทั่วไป
รัฐบาลจีนให้ผู้สื่อข่าวของสื่อทั้ง 3 ค่ายต้องเดินทางออกนอกประเทศ ยังเหลือสื่อหลักอื่นๆ เช่น ซีเอ็นเอ็น และสิ่งพิมพ์อื่นๆ ทำให้องค์กรสื่อทั้ง 3 ออกหนังสือประท้วงและประณามการตัดสินใจ ว่าเป็นการปิดกั้นรายงานเหตุการณ์สำคัญ
และอ้างว่าการปิดกั้นเกิดขึ้นในขณะที่จีนยังมีปัญหาการระบาดของไวรัส COVID-19
ยังไม่พอ รัฐบาลจีนยังประกาศให้ 5 สื่อหลักของสหรัฐฯ ซึ่งรวม 3 องค์กรสื่อ ต้องยื่นรายงาน มีรายละเอียดด้านการทำงานของผู้สื่อข่าว รายชื่อทุกคน สถานภาพการเงิน ทรัพย์สินที่ถือครองในรูปอสังหาริมทรัพย์ อีก 2 รายคือ “เสียงอเมริกา” และ “ไทม์”
รัฐมนตรีต่างประเทศ ไมค์ ปอมเปโอ บอกเพียงแต่ว่าการตัดสินใจของรัฐบาลจีนเป็นเรื่องน่าเสียใจ เป็นการกระทำแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน และจะทำให้จีนเสียประโยชน์เพราะคนทั่วโลกจะได้รับรู้ข้อมูลเหตุการณ์ต่างๆ ในประเทศน้อยกว่าที่เป็นอยู่
“เป็นช่วงที่สำคัญสำหรับข้อมูลข่าวสาร ความโปร่งใส” ปอมเปโอ กล่าว
ผู้บริหาร 3 สื่อหลักก็ออกแถลงการณ์เกี่ยวกับการตัดสินใจของรัฐบาลจีน แต่ไม่เอ่ยถึงมาตรการต่างๆ ที่สหรัฐฯ ได้ทำก่อนหน้านี้ และคงไม่มีทางเลือกอื่นๆ
ทรัมป์คงไม่ลดราวาศอก ต้องหาทางเล่นงานจีนต่อไป เพราะมองตัวเองว่าถือไพ่เหนือกว่าด้วยการค้า แต่ยังไม่แน่เพราะเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และยุโรปคงอยู่ในสภาวะถดถอย การว่างงาน ภาคธุรกิจที่ลำบากได้ร้องขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลแล้ว
ยุโรปและสหรัฐฯ คงต้องใช้เงินอีกมาก แต่ต้องหยุดการระบาดให้อยู่ก่อน!