xs
xsm
sm
md
lg

ก้าว(ไม่)ไกล เดินตกคูข้างทางยกเข่ง !!

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

** ก็ไม่ได้ต่างกันทั้ง ลูกพี่ ลูกน้อง หรือทั้งนาย-บ่าว แล้วแต่จะให้คำจำกัดความ ความหมาย สำหรับพรรค“ก้าวไกล”ที่เพิ่งยกขบวนมา“สวมชื่อ” พรรคใหม่ ที่บอกว่าไม่ได้ต่างกันก็คือ “พลาด”อย่างแรงในแบบที่เรียกว่า “ไร้เดียงสา”หรือจะเรียกแบบที่ว่าไม่ได้รู้จังหวะ เวลา ไม่มีรู้จักอารมณ์ของสังคมว่าตอนนี้เขากำลัง “ตื่นตัว”หรือว่า “ตื่นกลัว”ในเรื่องอะไรกันบ้าง
ซึ่งก็รับรู้กันไปทั่วโลกแล้วว่า เวลานี้แทบทุกคนต่างหวาดผวากับเจ้าเชื้อ ไวรัสสายพันธุ์ใหม่ โควิด-19 โดยเฉพาะประเทศไทยที่กำลังแพร่ระบาดกระจายไปทั่วประเทศ เพราะมีคนตาย คนป่วยที่ติดเชื้อมีจำนวนแบบพุ่งพรวด จนเลยเวลาที่จะต้องมานั่งโทษ นั่งด่ากันแล้วว่าใครล้มเหลว ใครห่วยแตกอย่างไรบ้าง เอาไว้ให้เสร็จเรื่องนี้ไปก่อนแล้วค่อยมาคิดบัญชีกัน อารมณ์ประมาณนี้มากกว่า
แต่ที่ผ่านมาที่บอกว่า “พลาด”ตั้งแต่ลูกพี่ยันลูกน้อง หรืออาจเรียกว่า “นายยันบ่าว”ก็มาจากกรณีที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่ไม่รู้จักเวล่ำเวลา ไม่รู้จักจังหวะจะโคน ไม่เคยเข้าใจอารมณ์สังคมว่ากำลังต้องการแบบไหน กลับทะลุกลางปล้อง ดันเสนอให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แล้วให้รัฐสภาสรรหานายกฯคนใหม่ โดยให้มีภารกิจเฉพาะเพียงแค่ 1 ปี เพื่อแก้ปัญหาเรื่องการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด -19 พร้อมทั้งเสนอมาตรการทางเศรษฐกิจ สองสามอย่าง และสองให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และให้ยุบศาลรัฐธรรมนูญ ยุบคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) เป็นต้น
และก็ได้ผล เมื่อสังคมรุมถล่มกันเละเทะ ในความรู้สึกแบบที่ว่า “ไม่รู้เรื่องรู้ราว”ไม่รู้กาลเทศะ ขณะเดียวกันมาตรการการแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ให้เยียวยาก็ออกมาในแบบ“เด็กๆ”ไม่ได้แหลมคมอะไร เพราะเป็นเรื่องปลีกย่อย ไม่ใช่เชิงโครงสร้าง หรือภาพใหญ่ เช่น การจัดการงบประมาณ เมื่อเปรียบเทียบกับข้อเสนอของ "กรณ์ จาติกวณิช" ว่าที่หัวหน้าพรรคกล้า ที่นำเสนออย่างเป็นระบบกว่า เป็นไปได้ และเป็นมิตรมากกว่า
**ล่าสุดก็มาถึง นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ซึ่งจะว่าไปแล้วสำหรับคอการเมืองก็รับรู้กันอยู่แล้วว่า เป็นการแตกตัว หรือการรับไม้ต่อมาจาก นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ทำพลาดจนต้องถูกยุบพรรคอนาคตใหม่ ต้องเดือดร้อนกันเป็นพรวน โดย นายพิธา ก็ไม่เคยสรุปบทเรียนหรืออารมณ์ของสังคมที่พยายาม “ชิงดักคอ”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่กำลังจะประกาศพระราชกำหนดบริหารสถานการณ์ฉุก เฉิน ที่ให้มีผลบังคับใช้ในวันที่ 26 มีนาคม ว่า “อย่าลิดรอนเสรีภาพ”ประชาชน โดยในแถลงการณ์ของพรรคก้าวไกล ที่ออกมาแม้ไม่ได้ขัดขวางการออกพระราชกำหนดดังกล่าว แต่ในความหมายก็คือ เน้นย้ำในเรื่องของ “เสรีภาพ”ของประชาชน และการแสดงความคิดเห็นเป็นหลัก
แน่นอนว่าหากเป็นสถานการณ์ปกติเชื่อว่าการมีท่าทีแบบนี้มันก็คง “ได้ใจ”สังคม โดยเฉพาะใน “โลกโซเชียลฯ”ที่คงชอบใจกระทืบเท้า กดไลค์กันอึ่งมี่ แต่กลายเป็นว่าผลที่ออกมาก็ไม่ได้แตกต่างจากกรณีของ“ลูกพี่”คือ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ให้ความเห็นก่อนหน้านี้ แต่กรณีของ นายพิธา ดูจะหนักกว่า เพราะมีแต่เสียงก่นด่า เยาะเย้ย ถากถางรอบทิศ เอาแค่ปริมาณยอดคลิก และยอดแสดงความเห็นทางลบ ที่ปรากฏใน “เมเนเจอร์ออนไลน์”เว็บเดียวก็ปาเข้าไปเหยียบแสนคลิกเข้าไปแล้ว ยิ่งไม่ต้องไปพูดถึงในสังคมโซเชียลฯ ที่รุมกระหน่ำ ด่ากันไม่ยั้ง จนทำให้ภาพความไม่รู้จักกาลเทศะ ไม่รู้จักเวล่ำเวลา จนลบเลือนพวก “คนรุ่นใหม่”ไปเลย
แน่นอนว่า ในสังคมย่อมมีคนไชอบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และรัฐบาลไม่น้อย แต่ในสถานการณ์ที่น่ากลัวแบบนี้ อีกทั้งเมื่อเปรียบเทียบกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคในต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเทศแถบยุโรป อเมริกา ที่ยึดมั่นในเรื่องเสรีภาพเป็นใหญ่ กลับกำลังถูกคำสั่งห้ามออกจากบ้าน ห้ามเดินทาง ในแบบ“ปิดเมือง”แบบเด็ดขาด เป็นภาพที่เมื่อหันมามองภาพคำสั่งในประเทศไทยเป็น“ของเด็กเล่น”ไปเลย จนนำไปสู่เสียงเรียกร้องให้ มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วประเทศ
ดังนั้น อารมณ์ของคนไทยในเวลานี้กลับต้องการให้รัฐบาลมีการควบคุมที่เข้มงวด ดังเช่นที่มีเสียงเรียกร้องให้ประกาศใช้ พระราชกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อใช้มาตรการเด็ดขาดเบ็ดเสร็จสำหรับการควบคุมโรคระบาดให้ได้โดยเร็ว เวลานี้ชาวบ้าน “มองข้ามเสรีภาพ”ไปก่อน รอให้โรคระบาดผ่านไปก่อนค่อยมาว่ากันใหม่
**ถึงได้บอกว่า เวลานี้ทั้งนายทั้งบ่าว ทั้งลูกพี่ลูกน้อง พลาดซ้ำซาก ไม่รู้จักสถานการณ์ คงพึ่งพาอะไรไม่ได้ เพราะก้าวไปได้ไม่ไกล พากันตกคูข้างทางไปเสียก่อน !!
กำลังโหลดความคิดเห็น