** หากพิจารณากันแบบไม่มีอะไรซับซ้อน ง่ายๆ สำหรับ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ และทีมงานเพื่อนพ้องใกล้ชิดสองสามคนอย่าง นายปิยบุตร แสงกนกกุล อดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ รวมไปถึง น.ส.พรรณิการ์ วานิช อดีตโฆษกพรรคเดียวกัน ที่คิดว่าการ “ฉวยจังหวะ”ในช่วงวิกฤตโรคระบาดจากไวรัสโควิด-19 ออกมากระโหมกระหน่ำรัฐบาล โดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม “คงจะได้ผล”เป็นแน่ พร้อมทั้งเปิดตัว “คณะก้าวหน้า”ในช่วงเวลาเดียวกัน แต่กลายเป็นว่า ในทางสาธารณะในวงกว้าง ผลกลับออกมาในทางตรงกันข้าม
จากที่คิดว่าน่าจะเป็นผลบวก ก็กลายเป็น “ผลลบ”มากกว่าไปเสียฉิบ ไม่ต้องพิจารณาอะไรให้ซับซ้อนหรอก ลองไล่สำรวจปฏิกิริยาจากสังคมในยามนี้ กลับไม่มีใครขานรับ โดยเฉพาะกับข้อเสนอให้ “พล.อ.ประยุทธ์ ลาออก”นาทีนี้กลับไม่มีเสียงตอบรับ หรือแสดงออกเฉยๆ ซึ่งแม้ว่าอาจไม่ใช่หมายความว่า ชื่นชอบ“ลุงตู่” แต่ในจำนวนนั้นพวกเขาเข้าใจสถานการณ์ที่ว่า “ไม่สมควรเปลี่ยนม้ากลางศึก”รวมไปถึงได้มองเห็น และเข้าใจมาตรการในการรับมือกับโรคร้ายดังกล่าว ที่ดำเนินการเป็นขั้นเป็นตอนตาม “วิถีทางด้านการแพทย์และสาธารณสุข”รวมไปถึงการเดินตามหลังความเห็นในมาตรการควบคุมโรค ของทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุข ระดับ “ปรมาจารย์”เท่าที่ประเทศไทยมีอยู่ ก็ได้ระดมรับฟังความเห็นอยู่ตลอดเวลา
ดังนั้น ข้อเสนอของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และเพื่อนๆ ที่เสนอออกมา เช่น ให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลาออก แล้วให้สภาฯ สรรหานายกฯ คนใหม่ แบบมี “ภารกิจเฉพาะกิจ 1 ปี”โดยมีภารกิจเฉพาะกิจสองสามอย่าง เช่น การแก้ปัญหาโรคระบาด แก้ปัญหาเศรษฐกิจ และก็ “แก้รัฐธรรมนูญ”ตามข้อเสนอ 3 ยุบ คือ ยุบศาลรัฐธรรมนูญ ยุบคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และ วุฒิสภาที่มาจากการแต่งตั้ง เป็นต้น
แน่นอนว่า หากเป็นช่วงสถานการณ์ปกติอาจเป็นข้อเสนอที่สร้างความวุ่นวาย และเพิ่มแรงกดดันให้กับรัฐบาล และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ไม่น้อยเหมือนกัน แต่เมื่อบ้านเมืองอยู่ในช่วงวิกฤต ต้องเผชิญกับภัยโรคระบาดในเวลานี้ ที่ทุกคนกำลังตื่นกลัว และเอาตัวรอด ไม่มีอารมณ์ที่จะออกจากบ้านมาเที่ยวไล่ใคร หรือเรียกร้องอะไรในเวลานี้อย่างแน่นอน
**สิ่งที่คิดในหัวก็คือ “เอาตัวให้รอด”ก่อน เรื่อง“ประชาธิปไตย”กับ“รัฐธรรมนูญ”รอไปก่อนสักพักหนึ่ง เพราะ“กินไม่ได้”ตอนนี้ขอออกไปซื้ออาหารสิ่งจำเป็นมาตุนไว้ให้พอในช่วงต้องกักตัวเองอยู่ภายในบ้านไว้ก่อน อารมณ์จะประมาณนี้มากกว่า
อีกทั้งข้อเสนอในเรื่องการแก้ปัญหาบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ใช้แรงงาน หรือแรงงานนอกระบบ ที่ให้สมัครเป็นผู้ประกันตน เป็นต้น รวมไปถึงการเสนอให้แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ บอกได้คำเดียวว่า เป็นข้อเสนอที่ “เด็กๆ”มาก ไม่มีความแหลมคม เป็นเพียงส่วนย่อย เท่านั้น ไม่ได้เป็นข้อเสนอในเชิงโครงสร้างในแบบภาพใหญ่ที่ต้องทำทั้งระบบ
เมื่อเปรียบเทียบกับข้อเสนอของ“กรณ์ จาติกวณิช”ว่าที่หัวหน้าพรรค “กล้า”ที่เสนอให้นายกรัฐมนตรี เรียกคืนงบประมาณจากกระทรวงต่างๆ แห่งละร้อยละ 10 รวมแล้วประมาณ 3.3 แสนล้านบาทในเบื้องต้น หรือมากกว่านั้น อาจถึงร้อยละ 20 เพื่อมารับภาระภาคเอกชนขนาดเล็ก และภาคแรงงาน โดยชดเชยเงินให้ครัวเรือนละไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นบาท เพื่อประคองให้อยู่ได้ในช่วงสองสามเดือน เป็นต้น
แน่นอนว่า นี่คือข้อเสนอเหมือนกัน แต่อย่างน้อยในทางปฏิบัติยังพอเป็นไปได้ และเป็นท่วงทำนองที่เป็นมิตร และเป็นทางออกมากกว่า ส่วนจะทำได้หรือเป็นไปได้หรือไม่นั้น ก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่อย่างน้อยมันก็สะท้อนให้เห็นแล้วว่ามัน “คนละชั้น”กันเห็นๆ ไม่ต่างจาก เด็กกับผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะมากกว่ากัน
ขณะเดียวกันสิ่งที่มองเห็นสำหรับ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ถือว่าเมื่อเกิดสถานการณ์ที่ต้องพึ่งพาแล้ว ถือว่า “ยังใช้ไม่ได้”ไม่ว่าในสถานการณ์ไหนก็ “ขาดความรอบคอบ”ไม่มีความคิดรอบด้าน มีแค่ความคิดฉาบฉวย ดาษดื่นเท่านั้น ยังไม่มีความแหลมพอ หากพิจารณาจากแนวความคิดแต่ละเรื่องที่ผ่านมา รวมไปถึงพฤติกรรมส่วนตัวที่ทำ “พลาดเอง”หลายเรื่อง จนต้องพ้นจากเก้าอี้ ส.ส.มาจนถึงทำให้ถูกยุบพรรคอนาคตใหม่ ก็ล้วนมาจากความผิดพลาดส่วนตัวล้วนๆ จนทำให้คนอื่นต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย
**ผลจากการเคลื่อนไหวของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ กับเพื่อนที่มีข้อเสนอดังกล่าวข้างต้น ถือว่าได้ให้คำจำกัดความสำหรับพวกเขาได้ดีว่า“ยังไม่ถึงขั้น” เป็นไปได้เพียงแค่นักกิจกรรม ที่วิพากษ์วิจารณ์คนอื่นในวงแคบๆได้แค่นั้นเอง แต่สำหรับในวงการเมืองสนามใหญ่ เท่าที่พิจารณาจากความเคลื่อนไหวและความคิดที่สะท้อนออกมาให้เห็นหลายครั้งถือว่า ยังไม่ถึงขั้น “ระดับชาติ”แน่นอน !!
จากที่คิดว่าน่าจะเป็นผลบวก ก็กลายเป็น “ผลลบ”มากกว่าไปเสียฉิบ ไม่ต้องพิจารณาอะไรให้ซับซ้อนหรอก ลองไล่สำรวจปฏิกิริยาจากสังคมในยามนี้ กลับไม่มีใครขานรับ โดยเฉพาะกับข้อเสนอให้ “พล.อ.ประยุทธ์ ลาออก”นาทีนี้กลับไม่มีเสียงตอบรับ หรือแสดงออกเฉยๆ ซึ่งแม้ว่าอาจไม่ใช่หมายความว่า ชื่นชอบ“ลุงตู่” แต่ในจำนวนนั้นพวกเขาเข้าใจสถานการณ์ที่ว่า “ไม่สมควรเปลี่ยนม้ากลางศึก”รวมไปถึงได้มองเห็น และเข้าใจมาตรการในการรับมือกับโรคร้ายดังกล่าว ที่ดำเนินการเป็นขั้นเป็นตอนตาม “วิถีทางด้านการแพทย์และสาธารณสุข”รวมไปถึงการเดินตามหลังความเห็นในมาตรการควบคุมโรค ของทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุข ระดับ “ปรมาจารย์”เท่าที่ประเทศไทยมีอยู่ ก็ได้ระดมรับฟังความเห็นอยู่ตลอดเวลา
ดังนั้น ข้อเสนอของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และเพื่อนๆ ที่เสนอออกมา เช่น ให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลาออก แล้วให้สภาฯ สรรหานายกฯ คนใหม่ แบบมี “ภารกิจเฉพาะกิจ 1 ปี”โดยมีภารกิจเฉพาะกิจสองสามอย่าง เช่น การแก้ปัญหาโรคระบาด แก้ปัญหาเศรษฐกิจ และก็ “แก้รัฐธรรมนูญ”ตามข้อเสนอ 3 ยุบ คือ ยุบศาลรัฐธรรมนูญ ยุบคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และ วุฒิสภาที่มาจากการแต่งตั้ง เป็นต้น
แน่นอนว่า หากเป็นช่วงสถานการณ์ปกติอาจเป็นข้อเสนอที่สร้างความวุ่นวาย และเพิ่มแรงกดดันให้กับรัฐบาล และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ไม่น้อยเหมือนกัน แต่เมื่อบ้านเมืองอยู่ในช่วงวิกฤต ต้องเผชิญกับภัยโรคระบาดในเวลานี้ ที่ทุกคนกำลังตื่นกลัว และเอาตัวรอด ไม่มีอารมณ์ที่จะออกจากบ้านมาเที่ยวไล่ใคร หรือเรียกร้องอะไรในเวลานี้อย่างแน่นอน
**สิ่งที่คิดในหัวก็คือ “เอาตัวให้รอด”ก่อน เรื่อง“ประชาธิปไตย”กับ“รัฐธรรมนูญ”รอไปก่อนสักพักหนึ่ง เพราะ“กินไม่ได้”ตอนนี้ขอออกไปซื้ออาหารสิ่งจำเป็นมาตุนไว้ให้พอในช่วงต้องกักตัวเองอยู่ภายในบ้านไว้ก่อน อารมณ์จะประมาณนี้มากกว่า
อีกทั้งข้อเสนอในเรื่องการแก้ปัญหาบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ใช้แรงงาน หรือแรงงานนอกระบบ ที่ให้สมัครเป็นผู้ประกันตน เป็นต้น รวมไปถึงการเสนอให้แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ บอกได้คำเดียวว่า เป็นข้อเสนอที่ “เด็กๆ”มาก ไม่มีความแหลมคม เป็นเพียงส่วนย่อย เท่านั้น ไม่ได้เป็นข้อเสนอในเชิงโครงสร้างในแบบภาพใหญ่ที่ต้องทำทั้งระบบ
เมื่อเปรียบเทียบกับข้อเสนอของ“กรณ์ จาติกวณิช”ว่าที่หัวหน้าพรรค “กล้า”ที่เสนอให้นายกรัฐมนตรี เรียกคืนงบประมาณจากกระทรวงต่างๆ แห่งละร้อยละ 10 รวมแล้วประมาณ 3.3 แสนล้านบาทในเบื้องต้น หรือมากกว่านั้น อาจถึงร้อยละ 20 เพื่อมารับภาระภาคเอกชนขนาดเล็ก และภาคแรงงาน โดยชดเชยเงินให้ครัวเรือนละไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นบาท เพื่อประคองให้อยู่ได้ในช่วงสองสามเดือน เป็นต้น
แน่นอนว่า นี่คือข้อเสนอเหมือนกัน แต่อย่างน้อยในทางปฏิบัติยังพอเป็นไปได้ และเป็นท่วงทำนองที่เป็นมิตร และเป็นทางออกมากกว่า ส่วนจะทำได้หรือเป็นไปได้หรือไม่นั้น ก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่อย่างน้อยมันก็สะท้อนให้เห็นแล้วว่ามัน “คนละชั้น”กันเห็นๆ ไม่ต่างจาก เด็กกับผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะมากกว่ากัน
ขณะเดียวกันสิ่งที่มองเห็นสำหรับ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ถือว่าเมื่อเกิดสถานการณ์ที่ต้องพึ่งพาแล้ว ถือว่า “ยังใช้ไม่ได้”ไม่ว่าในสถานการณ์ไหนก็ “ขาดความรอบคอบ”ไม่มีความคิดรอบด้าน มีแค่ความคิดฉาบฉวย ดาษดื่นเท่านั้น ยังไม่มีความแหลมพอ หากพิจารณาจากแนวความคิดแต่ละเรื่องที่ผ่านมา รวมไปถึงพฤติกรรมส่วนตัวที่ทำ “พลาดเอง”หลายเรื่อง จนต้องพ้นจากเก้าอี้ ส.ส.มาจนถึงทำให้ถูกยุบพรรคอนาคตใหม่ ก็ล้วนมาจากความผิดพลาดส่วนตัวล้วนๆ จนทำให้คนอื่นต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย
**ผลจากการเคลื่อนไหวของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ กับเพื่อนที่มีข้อเสนอดังกล่าวข้างต้น ถือว่าได้ให้คำจำกัดความสำหรับพวกเขาได้ดีว่า“ยังไม่ถึงขั้น” เป็นไปได้เพียงแค่นักกิจกรรม ที่วิพากษ์วิจารณ์คนอื่นในวงแคบๆได้แค่นั้นเอง แต่สำหรับในวงการเมืองสนามใหญ่ เท่าที่พิจารณาจากความเคลื่อนไหวและความคิดที่สะท้อนออกมาให้เห็นหลายครั้งถือว่า ยังไม่ถึงขั้น “ระดับชาติ”แน่นอน !!