xs
xsm
sm
md
lg

เมื่อพาณิชย์ช่วยเหลือในยามวิกฤตไม่ได้ ก็ต้องฝากไปถึง “สนธิรัตน์” จัดให้ด่วน **พรรคก้าวไกลเห็นวิกฤตโควิด-19 เป็นโอกาส รีบออกมาถล่มรัฐบาลลุงตู่

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ข่าวปนคน คนปนข่าว



**เมื่อพาณิชย์ช่วยเหลือในยามวิกฤตไม่ได้ ก็ต้องฝากไปถึง “สนธิรัตน์” จัดให้ด่วน “แอลกอฮอล์” ของมีค่าสู้โควิด-19 วันนี้ขาด-แพง ไม่แพ้หน้ากากอนามัย ต้องเร่งมือ-จัดหาให้ ปตท.ขาย-กระจายให้ถึงมือประชาชน

เห็น ครม.อนุมัติมาตรการเยียวยา และดูแลแรงงานลูกจ้างและอาชีพอิสระ ที่อยู่นอกประกันสังคม โดยช่วยเหลือรายละ 5,000 บาท ต่อเนื่องไป 3 เดือน พร้อมกับจัดเงินให้กู้เพิ่มสภาพคล่องอีกส่วนหนึ่งก็ต้องบอกอย่างที่ “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” รองนายกรัฐมนตรี ที่ออกโรงแทน “อุตตม สาวนายน” รมว.คลัง เจ้าภาพหลักที่ยังอยู่ระหว่างกักตัวเองว่า “คนไทยไม่ทิ้งกัน”

งานนี้คงไม่มีใครว่า ใครด่า หมดเวลามาดรามากันเรื่อง “แจกเงิน” เพราะเดือดร้อนแสนสาหัสกันจริงๆ รัฐมีเท่าไหร่ก็ต้องใส่ไม่ยั้ง เพื่อให้ “ทันการณ์ ตรงเป้าหมาย และจำเป็น”

ตอนนี้อะไรทำได้เพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย ช่วยเหลือการใช้ชีวิตประจำวันของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากมหาภัยพิบัติการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ก็ต้องทำ ต้องไม่ปล่อย หรือทิ้งกัน แต่ละคนที่มีหน้าที่ก็ต้องร่วมแรงร่วมใจ

ไม่ใช่เฉพาะแต่มาตรการเยียวยาและดูแลผลกระทบ... ปัจจัยข้าวของจำเป็นที่จะใช้ป้องกันการติดเชื้อ การแพร่ระบาดก็ต้อง “จัดหนัก จัดเต็ม” ด้วย

เมื่อกระทรวงพาณิชย์ ภายใต้ “รมว.จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” แก้ปัญหาฝากผีฝากไข้ไม่ได้ ทั้งหน้ากากอนามัย หรือกระทั่งแอลกอฮอล์

สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์
งานนี้ก็ต้องขอฝากไปยัง “สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน แทนพาณิชย์หน่อย โดยเฉพาะเรื่อง แอลกอฮอล์

ท่านคงต้องเร่งและผลักดันให้แอลกอฮอล์ ถึงมือประชาชนอย่างทั่วถึง เพื่อให้ทันต่อสภาวการณ์ที่พัฒนาเร็วมาก

ยามนี้ น้ำยาฆ่าเชื้อ แอลกอฮอล์ ขาดแคลน และราคาพุ่งปริ๊ด พอๆ กับหน้ากากอนามัย กลายเป็นของมีค่าที่ประชาชนต้องมีไว้รับมือต่อสู้กับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่ปัญหาไม่ต่างจากหน้ากากอนามัย มีทั้งการกักตุน ขายเกินราคา เปิดตลาดออนไลน์ขายแบบหน้าเลือด จากเดิมไม่กี่สิบบาทกลายเป็นขวดละหลายร้อยบาท

ฟังว่า “รมว.สนธิรัตน์” เองในฐานะเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ที่เป็นพรรคใหญ่ในรัฐบาล ก็มีแนวคิดจะให้ที่ทำการพรรคเป็นที่บริการประชาชนด้วยการผลิตเจลล้างมือ และแอลกอฮอล์ 70% ซึ่งกำลังเปิดรับบริจาควัตถุดิบต่างๆ จากผู้ผลิตเพื่อนำไปบริการประชาชน

จากที่ทำการพรรค “สนธิรัตน์” รมว.พลังงาน ที่กำกับดูแลบริษัทพลังงานใหญ่ๆ อย่าง ปตท. ยังขอให้ ปตท.มาช่วยแจกเจลล้างมือให้ผู้มาใช้บริการ

เป็นที่รู้กัน ปตท.มีสถานีน้ำมันกระจายอยู่ทั่วประเทศจำนวนมาก ก็เห็นว่า ปตท.กำลังมีแคมเปญที่จะทำเจลล้างมือแจกล้านขวด

จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์
ไหนๆ ก็จะแจกเจลล้างมือ กับแอลกอฮอล์ ที่คนต้องการอย่างยิ่ง ปตท. ก็น่าจะเป็นตัวกลางนำมาบริการ จัดหาหรือขายแอลกอฮอล์ให้ประชาชนไปเลย นี่จะเป็นเรื่องที่ประชาชนจะเข้าถึงได้ง่ายกว่า และสะดวกสบาย แก้ปัญหากักตุนและโก่งราคาของพ่อค้า โรงงานหน้าเลือดได้ด้วย

ควรใช้โอกาสนี้ ที่ประชาชนต่างจังหวัดตามภูมิภาคกำลังอกสั่นขวัญแขวนกับระดับการแพร่ระบาดที่รุนแรง ทำให้สังคมรู้สึกว่า “คนไทยไม่ทิ้งกัน”

มาร่วมมือร่วมใจกันผลิตเจลล้างมือ และ นำน้ำยาฆ่าเชื้ออย่างแอลกอฮอลล์ ที่เป็นของมีค่า ที่ทุกคนกำลังต้องการในตอนนี้มีติดบ้าน ติดครอบครัว ไว้สู้โควิด-19

การแพร่ระบาดของไวรัสไม่รอเรา ไม่มีเวลาแล้วจริงๆ ต้องเร่งมือแข่งกับเวลา

สั่งการไปเลยท่าน.

**ทำก็ว่า ไม่ทำก็ว่า!! พรรคก้าวไกลเห็นวิกฤตโควิด-19 เป็นโอกาส รีบออกมาถล่มรัฐบาลลุงตู่ ที่ประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แก้ปัญหาโรคระบาด หาว่าเป็นการลิดรอนสิทธิ เสรีภาพ ...เข้าทำนอง มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ ชัดๆ

สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศไทยนี้กำลังอยู่ในขั้นวิกฤต ชนิดที่เรียกว่า ไม่มีครั้งไหนที่จะวิกฤตเท่าครั้งนี้แล้ว ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นพรวดพราด จนถึงขั้น “ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา” คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ต้องออกมาเตือนด้วยความกังวลว่า หากปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินไปเช่นนี้ โดยไม่มีมาตรการอะไรที่เด็ดขาด ภายใน 1 เดือน ตัวเลขผู้ติดเชื้อจะพุ่งขึ้นหลักแสน...

ในการประชุม ครม.เมื่อวานนี้ (24 มี.ค.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จึงขอมติจากที่ประชุม ในการประกาศใช้ “พ.ร.ก.ฉุกเฉิน” เพื่อให้นายกฯ มีอำนาจเบ็ดเสร็จ ในการออกประกาศต่างๆ สั่งการในลักษณะ “ซิงเกิลคอมมานด์”... ตามที่มีเสียงเรียกร้องว่าในยามวิกฤตเช่นนี้ ผู้นำต้องมีความเด็ดขาด!!

โดยหลักแล้ว พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จะถูกนำมาใช้ เพื่อแก้ไขสถานการณ์ที่ “ไม่ปกติ” ให้ยุติลงได้โดยเร็ว หรือ ป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงมากขึ้น โดยให้อำนาจนายกรัฐมนตรี ในการออกข้อกำหนดต่างๆ อาทิ เรื่องการห้ามมิให้บุคคลใดออกนอกเคหสถานภายในระยะเวลาที่กำหนด ...ห้ามมิให้มีการชุมนุมหรือมั่วสุมกัน หรือกระทำการยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย ... ห้ามเรื่องการเสนอข่าวอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว หรือเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารให้เข้าใจผิด... การห้ามใช้อาคาร สถานที่ เส้นทางคมนาคม ยวดยานพาหนะ รวมทั้งเรื่องของการอพยพประชาชน

ซึ่งมาตรการเหล่านี้ มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่จะเป็นเครื่องมือในการสกัดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในขณะนี้ เพราะสิ่งที่กระทรวงสาธารณสุข ประกาศแนะนำ ตักเตือนมา ก็ได้รับการปฏิบัติบ้าง ไม่ปฏิบัติบ้าง สำนึกความรับผิดชอบต่อสังคมยังบกพร่อง ...

 พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ - ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
ปัญหาหลักๆ ที่สังคมต้องการเห็นความเด็ดขาด จริงจัง อย่างเช่น จัดการกับพวกกักตุนหน้ากากอนามัย ขายเกินราคา สั่งปิดสถานบันเทิงแล้วก็ยังไปจับกลุ่มสังสรรค์กันที่ชายหาด ... จึงถึงเวลาที่ต้องใช้ “ยาแรง” กันแล้ว

แต่พอ “พล.อ.ประยุทธ์” ประกาศว่าจะใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เป็นเวลา 1 เดือน โดยจะให้มีผลบังคับใช้ในวันที่ 26 มี.ค.นี้ และยังไม่ได้ลงรายละเอียดว่าจะมีมาตรการอะไรออกมาบ้าง...ทาง “พรรคก้าวไกล” หรือ “อดีตพรรคอนาคตใหม่” ที่ปัจจุบัน “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” เป็นหัวหน้าพรรค ก็รีบออกแถลงการณ์โจมตีทันที ... ทำนองว่า การแก้วิกฤตโควิด-19 ที่ล้มเหลว ไม่ใช่เพราะกฎหมายอ่อนแอ แต่เป็นเพราะรัฐบาลขาดยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน ไร้ประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ วางแผนไม่รอบคอบ ขาดการเตรียมความพร้อมในการรับมือ ไม่เปิดเผยข้อเท็จจริง และมีปัญหาในการสื่อสารกับประชาชน ซึ่งปัญหาเหล่านี้ แก้ไม่ได้ด้วยการออก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ...

แถมยัง “ดักคอ” ไว้ด้วยว่า การใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ต้องใช้เพื่อการแก้ปัญหา “ไวรัสโควิด” เท่านั้น ...ไม่ใช่ถือโอกาสมาใช้อำนาจเพื่อลิดรอนเสรีภาพสื่อมวลชน เสรีภาพในการแสดงออกของประชาชน ละเมิดสิทธิในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารที่จะตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล และต้องให้อำนาจแก่พนักงานเจ้าหน้าที่จนเกินควรแก่เหตุ...

กลายเป็นว่า คนกลุ่มนี้ หาเรื่องด่าได้ทุกเรื่อง “ทำก็ว่า ไม่ทำก็ว่า” เอะอะไรก็อ้างเรื่อง “สิทธิ เสรีภาพ” ...ทั้งๆ ที่หมอและบรรดาบุคลากรทางการแพทย์ เขาก็แนะนำให้จำกัดพื้นที่ เพื่อควบคุมการระบาดของโรค

ไม่ต่างจากก่อนหน้านี้ ที่ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” อดีตหัวหน้าพรรค ออกมาแสดงท่าทีสนับสนุนให้นักเรียน นักศึกษา ออกมาชุมนุม “แฟลชม็อบ” โดยไม่สนใจกับเรื่องการแพร่ระบาดของโรค แต่เมื่อแฟลชม็อบ “จุดไม่ติด” เลยหันมาเรียกร้องให้ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา"” ลาออก แล้วให้สภาฯ สรรหานายกฯคนใหม่ แบบมี “วาระเฉพาะกิจ 1 ปี” โดยมีภารกิจเฉพาะกิจ สองสามอย่าง เช่น การแก้ปัญหาโรคระบาด แก้ปัญหาเศรษฐกิจ และก็ “แก้รัฐธรรมนูญ” ตามด้วยข้อเสนอ “3 ยุบ” คือ ยุบศาลรัฐธรรมนูญ ยุบคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และวุฒิสภาที่มาจากการแต่งตั้ง...

เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่า บ้านเมืองอยู่ในช่วงวิกฤต ต้องเผชิญกับภัยโรคระบาดที่ทุกคนกำลังตื่นกลัว และพยายามหาทางเอาตัวรอด ...แต่คนกลุ่มนี้กลับ “เห็นวิกฤตเป็นโอกาส” ฉวยจังหวะออกมากระโหมกระหน่ำรัฐบาล โดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อหวังผลทางการเมืองของกลุ่มตนเอง ...


อย่างนี้เขาเรียกว่า “มือไม่พาย เอาเท้าราน้ำ” ชัดๆ !!





กำลังโหลดความคิดเห็น