เมืองไทย 360 องศา
ก็ไม่ได้ต่างกัน ทั้งลูกพี่ ลูกน้อง หรือ ทั้งนาย-บ่าว แล้วแต่จะให้คำจำกัดความ ความหมาย สำหรับพรรค “ก้าวไกล” ที่เพิ่งยกขบวนมา “สวมชื่อ” พรรคใหม่ ที่บอกว่าไม่ได้ต่างกัน ก็คือ “พลาด” อย่างแรงในแบบที่เรียกว่า “ไร้เดียงสา” หรือจะเรียกแบบที่ว่าไม่ได้รู้จังหวะ เวลา ไม่มีรู้จักอารมณ์ของสังคมว่าตอนนี้เขากำลัง “ตื่นตัว” หรือว่า “ตื่นกลัว” ในเรื่องอะไรกันบ้าง
ซึ่งก็รับรู้กันไปทั่วโลกแล้วว่าเวลานี้แทบทุกคนต่างหวาดผวากับเจ้าเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ โควิด-19 โดยเฉพาะประเทศไทยที่กำลังแพร่ระบาดกระจายไปทั่วประเทศ เพราะมีคนตาย คนป่วย ที่ติดเชื้อมีจำนวนแบบพุ่งพรวด จนเลยเวลาที่จะต้องมานั่งโทษ นั่งด่ากันแล้วว่าใครล้มเหลว ใครห่วยแตกอย่างไรบ้าง เอาไว้ให้เสร็จเรื่องนี้ไปก่อนแล้วค่อยมาคิดบัญชีกัน อารมณ์ประมาณนี้มากกว่า
แต่ที่ผ่านมาที่บอกว่า “พลาด” ตั้งแต่ลูกพี่ยันลูกน้อง หรืออาจเรียกว่า “นายยันบ่าว” ก็มาจากกรณีที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่ไม่รู้จักเวล่ำเวลา ไม่รู้จักจังหวะจะโค่น ไม่เคยเข้าใจอารมณ์สังคมว่ากำลังต้องการแบบไหน กลับทะลุกลางปล้องดันเสนอให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้วให้รัฐสภาสรรหานายกฯคนใหม่ โดยให้มีภารกิจเฉพาะเพียงแค่ 1 ปี เพื่อแก้ปัญหาเรื่องการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด -19 พร้อมทั้งเสนอมาตรการทางเศรษฐกิจสองสามอย่าง และ สอง ให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และให้ยุบศาลรัฐธรรมนูญ ยุบคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เป็นต้น
และก็ได้ผล เมื่อสังคมรุมถล่มกันเละเทะ ในความรู้สึกแบบที่ว่า “ไม่รู้เรื่องรู้ราว” ไม่รู้กาลเทศะ ขณะเดียวกัน มาตรการการแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ให้เยียวยาก็ออกมาในแบบ “เด็กๆ” ไม่ได้แหลมคมอะไร เพราะเป็นเรื่องปลีกย่อย ไม่ใช่เชิงโครงสร้างหรือภาพใหญ่ เช่น การจัดการงบประมาณ เมื่อเปรียบเทียบกับข้อเสนอของ กรณ์ จาติกวณิช ว่าที่หัวหน้าพรรคกล้า ที่นำเสนออย่างเป็นระบบกว่า เป็นไปได้ และเป็นมิตรมากกว่า
และล่าสุด ก็มาถึง นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคกาวไกล ซึ่งจะว่าไปแล้วสำหรับคอการเมืองก็รับรู้กันอยู่แล้วว่า เป็นการแตกตัวหรือการรับไม้ต่อมาจาก นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ทำพลาดจนต้องถูกยุบพรรคอนาคตใหม่ จนต้องเดือดร้อนกันเป็นพรวน โดย นายพิธา ก็ไม่เคยสรุปบทเรียนหรืออารมณ์ของสังคมที่พยายาม “ชิงดักคอ” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่กำลังจะประกาศพระราชกำหนดบริหารสถานการณ์ฉุกเฉินที่ให้มีผลบังคับใช้ในวันที่ 26 มีนาคม ว่า “อย่าลิดรอนเสรีภาพ” ประชาชน โดยในแถลงการณ์ของพรรคก้าวไกลที่ออกมาแม้ไม่ได้ขัดขวางการออกพระราชกำหนดดังกล่าว แต่ในความหมายก็คือเน้นย้ำในเรื่องของ “เสรีภาพ” ของประชาชน และการแสดงความคิดเห็นเป็นหลัก
แน่นอนว่า หากเป็นสถานการณ์ปกติเชื่อว่าการมีท่าทีแบบนี้มันก็คง “ได้ใจ” สังคม โดยเฉพาะใน “โลกโซเชียล” ที่คงชอบใจกระทืบเท้า กดไลก์กันอึ่งมี่ แต่กลายเป็นว่าผลที่ออกมาก็ไม่ได้แตกต่างจากกรณีของ “ลูกพี่” คือ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ให้ความเห็นก่อนหน้านี้ แต่กรณีของ นายพิธา ดูจะหนักกว่า เพราะมีแต่เสียงก่นด่า เยาะเย้ย ถากถางรอบทิศ เอาแค่ปริมาณยอดคลิกและยอดแสดงความเห็นทางลบที่ปรากฏใน “เมเนเจอร์ออนไลน์” เว็บเดียวก็ปาเข้าไปเหยียบแสนคลิกเข้าไปแล้ว ยิ่งไม่ต้องไปพูดถึงในสังคมโซเชียลที่รุมกระหน่ำด่ากันไม่ยั้ง จนทำให้ภาพความไม่รู้จักกาลเทศะ ไม่รู้จักเวล่ำเวลา จนลบเลือนพวก “คนรุ่นใหม่” ไปเลย
แน่นอนว่า ในสังคมย่อมมีคนไชอบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และรัฐบาลไม่น้อย แต่ในสถานการณ์ที่น่ากลัวแบบนี้ อีกทั้งเมื่อเปรียบเทียบกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคในต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเทศแถบยุโรป อเมริกา ที่ยึดมั่นในเรื่องเสรีภาพเป็นใหญ่ กลับกำลังถูกคำสั่งห้ามออกจากบ้าน ห้ามเดินทาง ในแบบ “ปิดเมือง” แบบเด็ดขาด เป็นภาพที่เมื่อหันมามองภาพคำสั่งในประเทศไทยเป็น “ของเด็กเล่น” ไปเลย จนนำไปสู่เสียงเรียกร้องให้ มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วประเทศ
ดังนั้น อารมณ์ของคนไทยในเวลานี้ กลับต้องการให้รัฐบาลมีการควบคุมที่เข้มงวด ดังเช่นที่มีเสียงเรียกร้องให้ประกาศใช้ พระราชกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อใช้มาตรการเด็ดขาดเบ็ดเสร็จสำหรับการควบคุมโรคระบาดให้ได้โดยเร็ว เวลานี้ชาวบ้าน “มองข้ามเสรีภาพ” ไปก่อน รอให้โรคระบาดผ่านไปก่อนค่อยมาว่ากันใหม่
ถึงได้บอกว่าเวลานี้ทั้งนายทั้งบ่าว ทั้งลูกพี่ลูกน้อง พลาดซ้ำซาก ไม่รู้จักสถานการณ์ คงพึ่งพาอะไรไม่ได้ เพราะก้าวไปได้ไม่ไกลพากันตกคูข้างทางไปเสียก่อน !!