ระหว่างความ “กลัวตาย” กับ “กลัวไม่มีตังค์ใช้” นั้น...แม้จะเป็นความกลัวที่มีลักษณะผิดแผกแตกต่างกันออกไปแบบคนละเรื่อง คนละม้วน แต่สุดท้าย...ก็ทำท่าว่าอาจต้องกลายเป็น “คนละเรื่องเดียวกัน” ไปจนได้ โดยเฉพาะสำหรับประเทศที่ค่อนข้างให้ความสำคัญกับเรื่อง “เงินๆ-ทองๆ” อย่างหนักหน่วงรุนแรงมาโดยตลอด อย่างเช่น คุณพ่ออเมริกา...ของเรานั่นเอง!!!
ด้วยเหตุนี้...ก็จึงไม่ถึงกับเป็นเรื่องแปลก ที่ผู้นำประเทศอย่างประธานาธิบดี “ทรัมป์บ้า” ที่เพิ่งออกคำสั่งล็อกดาวน์ ชัตดาวน์ อะไรต่อมิอะไรภายในประเทศตัวเองไปเมื่อไม่นานมานี้ ห้ามมิให้อเมริกันชนสุมหัวรวมตัวเกินกว่า 10 คนขึ้นไป ปิดร้านอาหาร ภัตตาคาร สถานบริการ ฯลฯ ต่างๆ กำหนดให้ต้องมี “ระยะห่างทางสังคม” ให้มากๆ เข้าไว้ อันเนื่องมาจาก “ความกลัว” ต่อการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส “COVID-19” ที่ว่ากันว่า อาจส่งผลให้อเมริกันชนไม่ต่ำกว่า 70-150 ล้านคน ต้องกลายเป็นผู้ “ติดเชื้อ” เอาง่ายๆ (ตามตัวเลขคาดการณ์ของผู้เชี่ยวชาญที่ได้ไปให้การกับวุฒิสภา และส.ส.พรรคเดโมแครตนำมาเปิดเผยเมื่อเร็วๆ นี้) หรือที่กำลังทำให้ “อเมริกาอาจกลายเป็นศูนย์กลางของการแพร่ระบาดเชื้อไวรัส COVID-19” ดังที่โฆษกองค์การอนามัยโลก ได้ออกมาคาดคะเนไปเมื่อวันวานก็แล้วแต่ แต่เพียงแค่เมื่อช่วงวันจันทร์ (23 มี.ค.)ที่ผ่านมา...ผู้นำอเมริกันอย่าง “ทรัมป์บ้า” หนีไม่พ้นต้อง “พลิกลิ้น” หรือ “ตีลังกา 360 องศา” อีกรอบ ว่าอาจต้อง “reopen” หรือต้องกลับมา “เปิดอเมริกา” กันใหม่ ไม่งั้น...โอกาสที่ชาวอเมริกันอาจต้อง “ตาย” เพราะ “ไม่มีตังค์ใช้” ย่อมมีความเป็นได้สูงเอามากๆ...
หรือดังคำพูด คำแถลงต่อสาธารณชนและสื่อมวลชน ไม่ว่าในช่วงการแถลงข่าวประจำสัปดาห์ หรือการให้สัมภาษณ์สำนักข่าวที่ตัวเองคุ้นเคย อย่าง “Fox News” เป็นต้น ผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” จำต้องออกมาย้ำ ออกมาเน้นด้วยวาทะต่างๆ นานา เช่น “การฆ่าตัวตาย...เพราะภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจในอเมริกานั้น อาจเป็นอะไรที่หนักซะยิ่งกว่าการตายเพราะไวรัส COVID-19 ซะอีก” หรือ “ปัญหาด้านสุขภาพจะต้องไม่ถูกปล่อยให้ยืดเยื้อ จนอาจกลายเป็นปัญหาทางการเงินในระยะยาว” หรือ “การถดถอยทางเศรษฐกิจ อาจทำให้มีคนตายมากกว่าการติดเชื้อไวรัส COVID-19 หลายต่อหลายเท่า” ฯลฯ ซึ่งมันจะจริง-ไม่จริง เป็นไปตามนั้น-หรือไม่เป็นไปตามนั้น คงเป็นเรื่องที่บรรดาอเมริกันชนทั้งหลาย ต้องไปนั่งคิด-นอนคิด กันเอาเอง แต่ที่แน่ๆ ก็คือ โดยข้อมูล ตัวเลขที่บรรดาองค์กร หรือผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับความเป็นไปทางเศรษฐกิจของอเมริกา ได้นำมาแจกแจงเปิดเผยกันในช่วงระยะนี้ ก็ออกจะน่าสยดสยอง น่าขนหัวลุก ไม่น้อยไปกว่า เชื้อไวรัส “COVID-19” อยู่พอสมควรเหมือนกัน...
เช่น การเปิดเผยตัวเลขประมาณการของ “นายJames Bullard” แห่ง “Federal Reserve Bank of St. Louis” ว่าแนวโน้มที่ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ หรือ “GDP” ของสหรัฐฯ ในช่วงไตรมาส 2 นั้น จะหายไปครึ่งหนึ่ง หรือลดลงไปถึง 50 เปอร์เซ็นต์ ตัวเลขการว่างงานจะเพิ่มพรวดๆ พราดๆ ทะลุเพดาน อย่างชนิดไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ หรือจะพุ่งขึ้นไปประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์เป็นอย่างน้อย อันเป็นตัวเลขที่ไม่ต่างอะไรไปจากการรวบรวมข้อมูล สถิติของหน่วยงานภาคเอกชนสหรัฐฯ อย่างองค์กร “JQI” (Private Sector Job Quality) ที่แจกแจงให้เห็นในรายละเอียด ว่าตำแหน่งงานประมาณ 37 ล้านตำแหน่งในสหรัฐฯ ได้หายเกลี้ยง หรือกำลังจะหาย เพราะภาวการณ์ล็อกดาวน์ ชัตดาวน์ อะไรต่อมิอะไรทั้งหลาย เช่น ตำแหน่งงานในภัตตาคาร ร้านอาหารที่หายไปถึง 9 ล้านตำแหน่ง การศึกษา 3.2 ล้านตำแหน่ง ห้างสรรพสินค้า 2.8 ล้านตำแหน่ง ฯลฯ เป็นต้น...
และอาจด้วยตัวเลขจากการประมาณการหรือการรวบรวมสถิติเอาไว้ทำนองนี้ เลยทำให้ “ธนาคารกลาง” ของสหรัฐฯ หรือ “เฟด” ถึงกับต้องร่ายยาวออกมาเป็น “แถลงการณ์” ไปเมื่อช่วงวันจันทร์ (23 มี.ค.) ที่ผ่านมา ซึ่งแม้โดยเนื้อหาสาระ จะระบุเอาไว้กว้างๆ แต่ก็ก่อให้เกิดบรรยากาศที่น่าขนลุก ขนพองมิใช่น้อย โดยเฉพาะคำกล่าวที่สรุปไว้ประมาณว่า โอกาสที่จะเกิด “ความปั่นป่วนอย่างสุดขีดต่อเศรษฐกิจอเมริกา” ระหว่างช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 นั้น มีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ ยิ่งเมื่อนำเอาคำเตือนถึงภาพรวมของเศรษฐกิจในระดับโลก ที่ผู้อำนวยการบริหารกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ “IMF” “นางKristalina Georgieva” ได้ออกมาย้ำไว้อีกครั้ง เมื่อช่วงวันจันทร์ที่ผ่านมา ว่าแนวโน้มที่จะเกิด “ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ” ในระดับโลก ชนิดอาจหนักหน่วงและรุนแรงยิ่งกว่าครั้ง “วิกฤตการเงินปี ค.ศ. 2009” เอาเลยก็เป็นได้ ก็ยิ่งน่าที่จะทำให้ผู้ซึ่งหมกมุ่นอยู่กับเรื่องเงินๆ-ทองๆ อย่างเป็นพิเศษ เช่นผู้นำอเมริกา เลยต้องออกมา “ขีดเส้นตาย” เอาไว้ว่า การชัตดาวน์ การสร้างระยะห่างทางสังคม หรือการคุมเข้มเพื่อดูแลรักษาสุขภาพ หรือเพื่อช่วยชีวิตผู้คนจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 นั้น อาจต้องถูกยกเลิก ถูกผ่อนคลาย หรือถูกทำให้จบลงไปในอีกไม่นาน-ไม่ช้า ไม่เกินช่วงเทศกาล “Easter” (12 เมษายนปีนี้) เพื่อที่จะให้อเมริกา “กลับมาเปิดใหม่” “กลับมาทำงานได้ใหม่” หรือ “กลับมาใช้ชีวิตโดยปกติ” แม้ว่าสังคมอเมริกันจะยังคง “ไม่ปกติ” อันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ที่กำลังทำให้ “อเมริกาอาจกลายเป็นศูนย์กลางแห่งการแพร่ระบาด” อย่างที่โฆษก “WHO” คาดการณ์เอาไว้ก็ตามที...
แต่ก็นั่นแหละ...ทำไงได้!!! ในเมื่อความ “กลัวตาย” กับความ “กลัวไม่มีตังค์ใช้” มันออกจะเป็นอะไรที่หนักหน่วงรุนแรงไม่น้อยไปกว่ากันมากมายสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะสำหรับสังคมอเมริกัน ที่ชอบ “ฝัน” (American Dream) อะไรเป็นเงิน เป็นทอง มาโดยตลอด แต่เมื่อต้องเจอกับการอุดอู้อยู่แต่ในบ้าน ผู้คนไม่ยอมออกไปไหน-มาไหน การเดินทางด้วยรถยนต์ รถไฟ เครื่องบิน เรือเดินทะเล ฯลฯ แทบกลายเป็นอัมพาต ไม่เพียงทำให้บริษัทผลิตเครื่องบินยักษ์ใหญ่ อย่าง “โบอิ้ง” ที่ใกล้เจ๊งอยู่แล้ว เพราะปัญหาการผลิตที่ไม่ได้คุณภาพ ยิ่งมีสิทธิเจ๊งหนักขึ้นไปอีก แต่ยังทำให้ “อุตสาหกรรมน้ำมัน Shale Oil” ที่เคย “บูม” สุดขีดเมื่อ 3-4 ปีที่แล้ว อาจต้องล่มสลายไปกว่าครึ่งประเทศ เพราะไม่สามารถสู้กับ “ต้นทุน” การผลิตน้ำมันที่สูงกว่าราคาตลาดไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า ชนิดการอัดฉีด การช่วยเหลือสภาพคล่อง กลับไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมาเอาเลยแม้แต่น้อย ต่างไปจากการ “อุ้มแบงก์” หรือ “อุ้มสถาบันการเงิน” ในช่วง “วิกฤตการเงิน 2009” แบบคนละเรื่อง แถมการพิมพ์เงิน การอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ ไปจนถึงการปรับลดอัตราดอกเบี้ยแทบจะเหลือ “ศูนย์” ที่ถูกงัดมาใช้แบบซ้ำๆ ซากๆ กลับทำให้ปริมาณ “หนี้สิน” ของประเทศ ที่เคยมีอยู่ประมาณ 23 ล้านล้านดอลลาร์ หรือในระดับไม่ว่าชาติไหนต่อชาติไหน ก็ไม่มีโอกาสใช้หมด ยิ่งพุ่งพรวดๆ พราดๆ สูงกว่าขีดความสามารถในการผลิตของทั้งประเทศ หรือสูงกว่า “GDP” ไปประมาณ 121 เปอร์เซ็นต์ไปแล้วเป็นอย่างน้อย อันส่งผลให้ “เงินดอลลาร์” เงินสกุลหลักของประเทศและของโลกทั้งโลก เกิดความผันผวนปรวนแปร หรือทำท่าว่ากำลังก่อให้เกิดภาวะ “เงินเฟ้อในระดับโลก” จนอาจนำไปสู่แนวโน้มที่นักวิเคราะห์ทางการเงิน อย่าง “นายAlasdair Macleod” หัวหน้าฝ่ายวิจัยแห่งเว็บไซต์ทางการเงิน “Gold money.com” สรุปไว้กับ “นายMax Keiser” พิธีกรรายการเศรษฐกิจ โทรทัศน์ “รัสเซีย ทูเดย์” เอาง่ายๆ นั่นก็คือข้อวิเคราะห์ที่ว่า “การพิมพ์เงินเพิ่มเข้าสู่ระบบประมาณ 2 ล้านล้านดอลลาร์ ภายในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า ของธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจทำให้ในช่วงปลายปีนี้...เราคงไม่ถึงกับประหลาดใจถ้าหากได้เห็นความล่มสลายของอุตสาหกรรมการเงิน โดยเฉพาะเงินที่ไม่มีทุนสำรองหนุนหลัง (Fiat Currencies) อย่างเงินดอลลาร์ ที่อาจต้องพังพินาศตามไปด้วย!!! !!! !!!”...