ดูเหมือนว่า...บรรดาชาวโลก รวมถึงชาวไทยของหมู่เฮา อาจจำต้องอยู่ร่วมโลกกับเชื้อไวรัส “COVID-19” กันชนิดเป็นปีๆ เอาเลยก็ไม่แน่!!! นี่...ถ้าฟังจากบรรดาผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญระดับโลก ที่ออกมาให้ความเห็น ออกมาชี้แจงแถลงข่าวกันในช่วงระหว่างนี้ คือไม่ใช่แค่เจอกับอากาศร้อนๆ แล้วมันจะ “เหี่ยวปลาย” ลงไปได้ง่ายๆ แบบที่ใครต่อใครเคยคิดๆ เอาไว้ก่อนหน้านี้ หรือไม่ใช่แค่ “ปิดประเทศ” ปิดบ้าน ปิดเมืองสัก 14 วัน แล้วมันจะหายๆ คลายจางหายวับลงไปได้แบบเบ็ดเสร็จ เรียบโร้ยย์ย์ย์เพราะคงต้องรอไปจนกว่าจะเกิดการประดิษฐ์คิดค้น “วัคซีน” ที่มีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล ในการประหัตประหารเล่นงานเชื้อไวรัสตัวนี้ให้หมดฤทธิ์ หมดเดชลงไปจริงๆ นั่นแหละ ถึงพอจะอุ่นใจ สบายกาย สบายใจกันได้มั่ง...
แต่ถ้าทุกสิ่งทุกอย่าง...เป็นไปอย่างที่ประธานสถาบันทางวิทยาศาสตร์เยอรมนี ที่เรียกกันย่อๆ ว่า “RKI” (Robert Kock Institut’s) “นายLothar Wieler” เขาได้ออกมาแถลงชี้แจง หรือออกมาเปิดเผยผลงานการศึกษาและวิจัยของนักวิทยาศาสตร์แห่งสถาบันดังกล่าว เมื่อช่วงวันอังคาร (17 มี.ค.) ที่ผ่านมา ว่าการประดิษฐ์คิดค้น “วัคซีน” ที่จะเอามาใช้เล่นงานมาสยบฤทธิ์เดชของเชื้อไวรัสตัวนี้ อาจต้องใช้เวลากันอีกเป็นปีๆ หรืออาจประมาณ 2 ปีเอาเลยถึงขั้นนั้น และดูเหมือนสิ่งที่ว่านี้ จะได้รับการยอมรับ หรือ “ยอมสารภาพ” จากบรรดานักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญด้านนี้อีกเป็นจำนวนไม่น้อย...
อย่างเช่นนักวิทยาศาสตร์ หรือนักค้นคว้าวิจัย จากบริษัท “Moderna Inc.” ที่เคยค้นพบ “วัคซีน” ซึ่งเคยสามารถนำมาใช้สะกด หรือหยุดยั้งฤทธิ์เดชของเชื้อไวรัสโรค “MERS” (Middle East respiratory syndrome) ที่เคยระบาดแถวๆ ตะวันออกกลางเมื่อช่วงปี ค.ศ. 2012 ได้เป็นผลสำเร็จ แต่เมื่อต้องมาเจอกับเชื้อไวรัส “COVID-19” ที่มันออกจะมีความสลับซับซ้อนอยู่พอสมควรจนทำให้กลายเป็น “เรื่องยาก...และไม่แน่นอน” ในการสกัดวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และที่ไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงมาใช้กำราบเชื้อโรค หรือเชื้อไวรัสตัวนี้ ชนิดอาจต้องใช้เวลาเป็นปีๆ หรือไม่ต่ำกว่า 18 เดือน อย่างที่ “นายSergey Netesov” นักวิทยาศาสตร์ด้านจุลชีพและไวรัสวิทยา แห่งห้องทดลอง “Novosibirsk State University” เขาได้คาดคะเนและประมาณการไว้กับสำนักข่าวรัสเซีย ทูเดย์ เมื่อช่วงจันทร์ (16 มี.ค.) ที่ผ่านมา...
และอาจด้วยเหตุนี้...ที่ทำให้ผู้นำประเทศมหาอำนาจสูงสุดอเมริกา อย่าง “ทรัมป์บ้า” ซึ่งเคย “ทวีต” เอาไว้ก่อนหน้านี้ ประมาณว่า “รอให้อากาศอุ่นขึ้นมาเมื่อไหร่...เดี๋ยวมันก็หายๆ กันไปเอง” อะไรทำนองนั้น เลยต้องเริ่ม “พลิกลิ้น” หรือต้องเริ่ม “ตีลังกากลับ” ประมาณ 360 องศา หรือเริ่มหันมาเอาจริง-เอาจัง ในการรับมือกับเชื้อไวรัสตัวนี้ โดยเฉพาะในช่วงการแถลงข่าวกับสื่อมวลชนเมื่อช่วงวันจันทร์ที่ผ่านมา ไม่ว่าการออกมาเรียกร้องให้บรรดาอเมริกันชนทั้งหลาย อย่าไปสุมหัว รวมตัวกันในระดับ 10 คนขึ้นไป ให้พยายามหาทางสร้าง “ระยะห่าง” (Social Distancing) ในระหว่างพบหน้า พบตา พบปะเจอะเจอกับใครต่อใครก็ตาม หรืออย่าได้ไปคิดยืนถ่ายรูปแบบเคียงบ่า-เคียงไหล่ กับนักการเมืองบราซิล อย่างที่ตัวเองเคยมีบทเรียนมาแล้ว จนทำให้แทบถูกกักตัวเอาไว้ 14 วัน หรือต้องยอมถูกจับไปตรวจเชื้อ “COVID-19” อย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้ อะไรประมาณนั้น อีกทั้งยังต้องยอมรับด้วยว่า เชื้อไวรัสตัวนี้อาจแพร่ระบาดถึงขั้นสูงสุดในสังคมอเมริกัน ต่อเนื่องไปถึงอีก 4-5 เดือนข้างหน้า หรืออาจต้องใช้เวลาลากยาวไปถึงช่วงประมาณเดือนกรกฎาคมหรือสิงหาคมโน่นเลย ถึงพอมั่นใจได้ว่า...สังคมอเมริกันอาจผ่านพ้น “วิกฤตไวรัส” คราวนี้ลงไปได้จริงๆ...
และด้วยการออกมา “พลิกลิ้น” หรือการ “ตีลังกากลับ” ประมาณ 360 องศาเช่นนี้นี่เอง...เลยทำให้บรรดาสื่อมวลชนที่รับฟังการแถลงข่าวคราวนี้ อดไม่ได้ที่จะต้อง “ตั้งคำถาม” ประมาณว่า “นี่...หมายถึงเรากำลังต้องเข้าสู่ภาวะถดถอย (ในทางเศรษฐกิจ) หรือเปล่า???” อะไรทำนองนั้น และด้วย “คำตอบ” แบบสั้นๆ ง่ายๆ โดยจะออกอาการ “ตาลอย” หรือไม่ เพียงใด เนื้อข่าวก็ไม่ได้ระบุรายละเอียดเอาไว้ชัด แต่จากคำพูดที่ว่า... “ก็ใช่...หรืออาจบางที” เพียงเท่านี้นี่เอง ว่ากันว่า...ถึงกับส่งผลให้ “ตลาดหุ้นดาวโจนส์” ช่วงปิดตลาดเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ร่วงลงไปอีก 2,997.1 จุด หรือเกือบ 3,000 จุด หรืออีกประมาณ 12.93 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่หุ้นอุตสาหกรรมดาวโจนส์ร่วงไปถึง 13 เปอร์เซ็นต์ เอสแอนด์พีร่วงไป 12 เปอร์เซ็นต์ หรือรวมๆ กันแล้ว นับจากช่วงวันที่ 12 กุมภาฯ ที่ผ่านมา จนถึง ณ ขณะนี้ ตลาดหุ้นในอเมริการ่วงลงไปแล้วถึง 30 เปอร์เซ็นต์ด้วยกัน หนักซะยิ่งกว่าช่วงที่เรียกๆ กันว่า “Black Monday” เมื่อประมาณปี ค.ศ. 1987 เอาเลยถึงขั้นนั้น...
ดังนั้น...ไม่ว่าเชื้อไวรัสตัวนี้ จะอยู่ยาว-ไม่อยู่ยาวไปถึงขั้นไหน จะเกิดการประดิษฐ์คิดค้น “วัคซีน” เพื่อกำจัดฤทธิ์เดชของเชื้อ “COVID-19” ในช่วงอีกสักกี่วัน กี่เดือน หรือกี่ปี ก็ตามแต่ แต่บรรดาพวก “นักระบาดวิทยาทางเศรษฐกิจ” ทั้งหลาย ก็ดูจะชักเริ่มเชื่อๆขึ้นมาบ้างแล้วว่า อภิมหาอำนาจทางการเมือง การทหาร และการเศรษฐกิจอย่างคุณพ่ออเมริกานั้น น่าจะมีโอกาส “ไปไม่กลับ-หลับไม่ตื่น-ฟื้นไม่มี-หนีไม่พ้น” ชนิดสูงเอามากๆ ไม่ว่าผู้ที่เคยมีสถานะไม่ต่างไปจากผู้ที่ชี้เป็น-ชี้ตายทางเศรษฐกิจในระดับโลก อย่าง “ธนาคารกลางสหรัฐฯ” หรือ “เฟด” จะออกมาประกาศ “ลดดอกเบี้ย” ลงไปเหลือ 0 เปอร์เซ็นต์ เพื่อหาทางกระตุ้นให้อะไรต่อมิอะไรมันพอเงยหัว หรือพอลืมตาอ้าปากขึ้นมาได้มั่ง แต่ก็อย่างที่ “นักระบาดวิทยาทางเศรษฐกิจ” หลายต่อหลายรายเขาได้อุปมา-อุปไมย เอาไว้นั่นแหละว่า แม้เป็นความพยายามงัด “ปืนใหญ่” ออกมายิง เพื่อช่วย “เซฟตลาด” กันเพียงใดก็ตามที แต่มันคงไม่ได้ช่วยอะไรกันมากมาย...
ยิ่งโดยเฉพาะนักวิเคราะห์เศรษฐกิจที่ออกสไตล์ “หวือๆ หวาๆ” อยู่สักหน่อย อย่างเช่น “นายMax Keiser” พิธีกรรายการเศรษฐกิจโทรทัศน์รัสเซีย ทูเดย์ ถึงกับโดดออกมา “ฟันธง” แบบชนิดเต็มผืน เต็มด้าม ว่าการ “ระเบิดทางเศรษฐกิจ” ของประเทศอเมริกาในอีกไม่ช้า-ไม่นานนับจากนี้ จะมีสภาพคล้ายคลึงกับภาวะเศรษฐกิจโลกในช่วงประมาณ 2 ทศวรรษ หลัง “สงครามโลกครั้งที่ 1” หรือภาวะที่ทำให้อดีตอภิมหาอำนาจสูงสุดของโลก อย่างจักวรรดินิยมอังกฤษ ที่เคยได้ชื่อว่า “จักรวรรดิที่พระอาทิตย์ไม่ตกดิน” ต้อง “ไปไม่กลับ-หลับไม่ตื่น-ฟื้นไม่มี-หนีไม่พ้น” หรือต้องสูญเสียสถานะแห่งความเป็นมหาอำนาจสูงสุด อย่างไม่มีวันหวนคืนกลับมาได้อีกเลย และนั่นเอง...ที่จะทำให้ “มหาอำนาจคู่แข่ง” หรือ “มหาอำนาจรายใหม่” อย่างจีนและรัสเซีย จะผงาดขึ้นมาเป็นผู้นำพาชะตากรรมของโลกในศตวรรษเบื้องหน้า อย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้ จริง-ไม่จริง...อันนี้ก็คงต้องลองไปนั่งคิด นอนคิด หรือ “ปิดบ้านคิด” กันเอาเองก็แล้วกัน...