ดูเหมือนว่า...อาการ “หูแหก-ตาแหก” ในเรื่องการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส “COVID-19” คงไม่ได้วนไป-วนมาอยู่แต่เฉพาะบรรดาประเทศแถบๆ เอเชีย หรือแม้แต่บ้านเราล้วนๆ อีกต่อไปเท่านั้น เพราะช่วงระหว่างนี้...บรรดาพวกฝรั่งมังค่า ไม่ว่าในยุโรปหรืออเมริกา ดูๆ ก็น่าจะเริ่ม “แหก” หรือเริ่ม “แต๋วแตกแหวกชิมิ” ขึ้นมามั่งแล้ว!!!
โดยเฉพาะฝรั่งอิตาลีนั่นแหละ...น่าจะหนักสุด เพราะมาถึง ณ บัดนี้ น่าจะถือเป็นประเทศอันดับ 3 ที่ต้องเจอกับพิษการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส “COVID-19” หนักรองลงมาจากเกาหลีใต้ และประเทศต้นน้ำอย่างประเทศจีน โดยวัดจากจำนวนตัวเลขผู้ติดเชื้อและผู้ที่ต้องตายไปเพราะเชื้อไวรัสชนิดนี้ ที่พุ่งพรวดๆ พราดๆ จากจำนวนผู้ติดเชื้อที่เคยอยู่ที่ประมาณ 1,247 ราย เพียงแค่ไม่กี่วัน ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น เด้งขึ้นไปถึง 5,883 ราย ขณะที่จำนวนผู้ตายเขยิบขึ้นเป็น 233 รายไปแล้ว ตามตัวเลขเมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา...
และนั่นเอง...ที่น่าจะเป็นสาเหตุให้รัฐบาลประชาธิปไตยของอิตาลี หนีไม่พ้นต้องหันไปเอา “แบบอย่าง” หรือ “ต้นแบบ” จากประเทศเผด็จการอย่างจีน มาประยุกต์ใช้กับประเทศตัวเองอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธ คือต้องออกคำสั่งประกาศ “ปิดบ้าน-ปิดเมือง” ไปตั้งแต่เมื่อช่วงวันเสาร์ (7 มี.ค.) ที่ผ่านมา ครอบคลุมแคว้น “Lombardy” ทั้งแคว้น รวมทั้งเมืองอีก 14 เมือง อันถือเป็นขอบเขตอาณาบริเวณพื้นที่ที่มีประชากรชาวอิตาเลียนอาศัยอยู่เป็นจำนวนถึง 16 ล้านคน โดยที่บรรดาประชากรเหล่านี้หนีไม่พ้นต้องถูก “ขอความร่วมมือ” ไม่ให้ออกไปไหน-ต่อไหน โดยไม่จำเป็น บรรดาสถานที่สำคัญต่างๆที่ผู้คนต้องไปรวมตัวกันเยอะๆ ไม่ว่าโรงเรียน วิทยาลัย มหาวิทยาลัย พิพิธภัณฑ์ ศูนย์กีฬา ศูนย์วัฒนธรรม ที่พักตากอากาศสำหรับเล่นสกี หรือแม้แต่สระว่ายน้ำสาธารณะ ฯลฯ ต่างก็ถูกปิดการใช้ การให้บริการ นับตั้งแต่วันเสาร์ที่ผ่านมา ไปจนถึงวันที่ 3 เมษายนเดือนหน้าโน่นเลย...
เรียกว่า...ออกอาการเอาจริง เอาจัง ยิ่งกว่าการ “ไล่ล่าผีน้อย” ในบ้านเราไม่รู้กี่เท่า ต่อกี่เท่า แม้ว่าจะถูกตอดโน่น ตอดนี่ ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากบรรดานักการเมืองฝ่ายตรงข้ามมิใช่น้อย ตามสภาพความเป็นไปของ “การเมืองอิตาลี” ที่ออกจะปั่นป่วนรวนเร ชนิดเละเป็นขี้ เละเป็นโจ๊กมาโดยตลอด แต่รัฐบาลอิตาลีภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี “Giuseppe Conte” ท่านก็คงไม่อยากให้อะไรต่อมิอะไรมัน “เละ” ยิ่งไปกว่านี้ โดยเฉพาะต่อ “ผลกระทบ” ที่จะตามมา นั่นคือเรื่องของ “เศรษฐกิจอิตาลี” ที่ออกอาการยอบๆ แยบๆ มาโดยตลอด จนต้องหันไป “จูบปาก” กับจีน หรือต้องกลายเป็นประเทศยุโรปประเทศแรก ที่พร้อมจะเปิดช่อง เปิดทางให้กับ “โครงการเส้นทางสายไหมใหม่” (Belt and Road) หรือ “BRI” ของจีน แบบชนิดเต็มสูบ เต็มด้าม...
อย่างไรก็ตาม...แม้ว่าประเทศ “คู่กัด” หรือประเทศที่คุณพ่ออเมริกาไม่ค่อยจะชอบขี้หน้า ไม่ว่าจีน อิหร่าน มาจนถึงอิตาลี ดันมีอันต้องเจอกับฤทธิ์เดชของไวรัสอย่าง “COVID-19” เข้าไปแบบเน้นๆ เนื้อๆ แต่สำหรับคุณพ่ออเมริกาเอง...ทุกสิ่งทุกอย่างก็คงไม่ได้ถึงกับ “ชิวๆ” (ชิลๆ) อย่างที่ผู้นำประเทศ ประธานาธิบดี “ทรัมป์บ้า” ท่านพยายามออกมาปลอบอก ปลอบใจ บรรดาอเมริกันชนไว้ก่อนล่วงหน้ามากมายสักเท่าไหร่ เพราะจำนวนตัวเลขผู้ติดเชื้อ และผู้ตาย อันเนื่องมาจากเชื้อไวรัสตัวนี้ในอเมริกามันก็ออกจะ “เด้ง” พรวดๆ พราดๆ อยู่พอสมควรเหมือนกัน คือจากระดับติดเชื้อประมาณแค่ 50-60 ราย จำนวนคนตายมีอยู่แค่ 1 คนเท่านั้นเอง แต่ผ่านไปแค่สัปดาห์เดียวเท่านั้นเอง ตัวเลขจำนวนผู้ติดเชื้อมันเด้งขึ้นถึงระดับ 430 ราย จำนวนคนตายเขยิบขึ้นไปเป็นประมาณ 20 คนไปแล้ว ในทุกวันนี้...
และนั่นเอง...ที่ทำให้บรรดาอเมริกันชนทั้งหลาย อดไม่ได้ที่จะต้อง “หูแหก-ตาแหก” ไม่น้อยไปกว่าบ้านเรา หรือ ณ ที่ไหนๆ ในโลกใบนี้ โดยเฉพาะเมื่อเกิดการนำเอาข้อมูลตัวเลขจากข้อสันนิษฐาน ข้อสมมติฐานของบรรดาภาคเอกชน องค์กรเอกชน ที่ไม่ได้เห็นไปในทางเดียวกับรัฐบาล หรือออกจะเห็นต่างๆ แบบชนิดคนละเรื่อง คนละม้วน ในเรื่องความเป็นไปได้ในการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสชนิดนี้ในสังคมอเมริกัน อันเป็นสังคมที่ระบบประกันสุขภาพของผู้คนพลเมือง ออกจะ “ห่วยแตก” มาโดยตลอด สังคมที่เต็มไปด้วย “ช่องว่าง” ระหว่างคนรวย-คนจน ชนิดผู้คนนับเป็นสิบล้าน ร้อยล้าน แทบไม่มีโอกาสได้รับการดูแลรักษาจากระบบการแพทย์ การสาธารณสุข ที่แพงแสนแพงยิ่งขึ้นไปทุกที อย่างเช่นองค์กรที่เรียกๆ กันว่า “American Hospital Association” หรือ “AHA” ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1898 มีองค์กรสมาชิกถึง 5,000 องค์กรทั่วประเทศ มีสมาชิกส่วนบุคคลอีกไม่ต่ำกว่า 43,000 ราย หรือเป็นองค์กรที่ได้รับความเชื่อถือ เชื่อใจ จากบรรดาอเมริกันชนเป็นจำนวนไม่น้อย ซึ่งได้ออกมาเปิดเผยรายงานการศึกษาชิ้นล่าสุดของ ศาสตราจารย์ “Dr.James Lawyer” แห่งมหาวิทยาลัย “Nebraska Medical Center” ที่ให้ชื่อไว้ว่า “What healthcare leaders need to know : Preparing for the COVID-19” หรือสิ่งที่บรรดาพวก “ผู้นำ” ควรรับรู้เพื่อเตรียมตัวรับมือกับเชื้อไวรัส “COVID-19” เมื่อช่วงวันที่ 26 กุมภาฯ ที่ผ่านมานี้เอง ด้วยข้อมูล ตัวเลข อันมาจากข้อสันนิษฐานหรือข้อสมมติฐานของศาสตราจารย์รายนี้ ต้องเรียกว่า...เล่นเอาบรรดาอเมริกันชน “ขนหัวลุก” กันไปเป็นแถบๆ...
เพราะโดยประมาณการนั้น...เห็นถึง “ความเป็นไปได้” ที่บรรดาอเมริกันชนทั้งหลาย จะต้องกลายเป็นผู้ติดเชื้อจากไวรัสตัวนี้ไม่น้อยไปกว่า 96 ล้านคน และเป็นไปได้ที่ชาวอเมริกันทั้งหลายจะต้องเซ่นสังเวยชีวิตให้กับโรคระบาดคราวนี้ไม่น้อยไปกว่า 480,000 คน หรือเกือบครึ่งล้านคน และโดยรายงานดังกล่าว ออกจะสอดคล้องกับความเห็นของผู้เชี่ยวชาญบางราย อย่างศาสตราจารย์ “March Lipstich” แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ที่เคยวาดจินตนาการเอาไว้ก่อนหน้านี้ในวารสาร “The Atlantic” ว่าแนวโน้มที่เชื้อไวรัส “COVID-19” จะแพร่ระบาดไปสู่ผู้คนไม่ต่ำกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนพลโลก ภายในปีนี้ ปีหน้า ย่อมมีความเป็นไปได้เช่นกัน...
เมื่อเจอเข้ากับข้อมูล ตัวเลข ในลักษณะทำนองนี้...บรรดาอเมริกันชนทั้งหลาย ย่อมหนีไม่พ้นต้อง “หูแหก-ตาแหก” อย่างมิอาจปฏิเสธ และนั่นเอง...ที่ทำให้ “การเมืองอเมริกัน” ซึ่งกำลังเข้าสู่ช่วงสุดท้ายของโค้งวัดเบญฯ จึงกลายเป็น “การเมืองเรื่องไวรัส” อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ หรือเกิดการนำเอาเรื่องไวรัส “COVID-19” มาใช้เป็น “เครื่องมือ” ในการกล่าวหาโจมตี ใส่ร้ายป้ายสีซึ่งกันและกันอย่างชนิดหนักหนาสาหัสกว่าพวก “ไม่ชอบบิ๊กตู่” ในบ้านเราไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยเท่า อีกทั้งยังทำให้ความเชื่อมั่น เชื่อใจ ต่อระบบเศรษฐกิจอเมริกา ออกอาการ “หัวทิ่มดิน” ล้มคว่ำคะมำหงาย ชนิด “ธนาคารกลาง” ของอเมริกา แทบไม่มีโอกาสเข้ามาสอดแทรก เข้ามากระตุ้นใดๆ ได้อีก โดยหลักฐานข้อพิสูจน์แสดงให้เห็นจากปฏิกิริยาของ “ตลาด” คราวแล้ว คราวเล่า ทำให้ไม่ว่า “เชื้อไวรัส” ตัวนี้ จะมีที่มา-ที่ไปในแบบไหน ลักษณะไหน แบบเป็นไปตาม “ธรรมชาติ” หรือเป็นไปตาม “ทฤษฎีสมคบคิด” ก็แล้วแต่ แต่สุดท้ายแล้ว...ย่อมก่อให้เกิดความ “ฉิบหาย” ได้โดยถ้วนหน้าไปทั่วกันทั้งโลก โดยแทบไม่มี “ข้อยกเว้น” ให้กับรายหนึ่งรายใด เอาเลยแม้แต่น้อย...