เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงหนีไม่พ้นต้องไปว่ากันเรื่องโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ หรือ “COVID-19” อย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้กันอีกนั่นแหละทั่น โดยเฉพาะเมื่อ “ศูนย์กลางแห่งการแพร่ระบาด” ของเชื้อโรคชนิดนี้ มันเริ่มย้ายฝั่งจากเอเชีย จากจีน เกาหลีใต้ หรืออิหร่านไปอยู่แถวๆ “ยุโรป” อย่างชนิดแจ่มแจ้ง แดงแจ๋ ตามที่ผู้อำนวยการองค์กร “WHO” “นายเทดรอส อัดฮานอม เกเบรเยซุส” (Tedros Adhanom Ghebreyesus) ท่านได้ออกมาเล่าแจ้งแถลงไว้อย่างเป็นทางการ เมื่อช่วงวันศุกร์ (13 มี.ค.) ที่ผ่านมา...
คืออาจด้วยเหตุเพราะ “สื่อกระแสหลัก” ในระดับโลกทั้งหลาย...ต่างมีที่ตั้งอยู่ในทวีปยุโรป หรือในโลกตะวันตกไปด้วยกันทั้งสิ้น ดังนั้น...เมื่อศูนย์กลางแห่งการแพร่ระบาดมันเริ่มย้ายเข้าสู่ยุโรป รวมไปถึงอเมริกา โอกาสที่โลกทั้งโลกจะต้อง “หูแหก-ตาแหก” เพราะข่าวคราวเกี่ยวกับเรื่องเชื้อไวรัสตัวนี้ ย่อมต้องระเบิดเถิดเทิงยิ่งขึ้นไปเท่านั้น เฉพาะแค่ที่อิตาลี...ก็ต้องเรียกว่า “แหก” กันระดับ “แต๋วแตกแหวกชิมิ” ถึงขั้นต้อง “ปิดประเทศ” กันไปแล้วถึงขั้นนั้น เยอรมนี ฝรั่งเศส ไปจนอังกฤษ ฯลฯ ที่ตามมาติดๆ โดยเฉพาะเยอรมนีที่ระดับผู้นำประเทศอย่าง “นางอังเกลา แมร์เคิล” ถึงกับออกมาประเมินสถานการณ์ระดับเลวร้ายที่สุด ว่าชาวเยอรมันอาจต้องตกเป็นเหยื่อ “COVID-19” กันในระดับ 70-80 เปอร์เซ็นต์ ของจำนวนประชากรเอาเลยถึงขั้นนั้น ซึ่งไม่ได้ต่างไปจากอังกฤษ ที่รัฐมนตรีสาธารณสุข เคยออกมาประเมินถึงฉากสถานการณ์แบบเลวร้ายสุดๆ ในระดับใกล้เคียงกับที่ผู้นำเยอรมนี บอกกล่าวเอาไว้เมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว...
แต่ที่น่าจะหูแหก-ตาแหก...ระดับระเบิดเถิดเทิงยิ่งไปกว่านั้น คงหนีไม่พ้น “คุณพ่ออเมริกา” ของเราผู้นี้นี่เอง จากเดิมทีที่เคยเป็นอะไรแบบออกไปทาง “ชิลๆ” เป็นแค่ “ไข้หวัดธรรมดาๆ” หรือ “พออากาศเริ่มอุ่น...ก็น่าจะหมดเรื่องหมดราวกันไปซะที” ตามที่ผู้นำประเทศอย่าง “ทรัมป์บ้า” ได้เคยออกมาพูดจาว่ากล่าว ออกมา “ทวีต” ไว้ก่อนหน้านี้ แต่ไปๆ-มาๆ...ทุกสิ่งทุกอย่างมันชักไม่ได้เป็นไปตามนั้นยิ่งเข้าไปทุกที ชนิดตัวประธานาธิบดีต้องออกมาพลิกลิ้นตีลังกาแบบ 360 องศา หรือออกมาประกาศ “สถานการณ์ฉุกเฉินแห่งชาติ” ไปเมื่อช่วงวันศุกร์ที่ผ่านมา ในขณะที่ตัวเลขประมาณการถึงฉากสถานการณ์แบบเลวร้ายสุดๆ ในอเมริกา ยิ่งทวีความน่ากลัว น่าหูแหก-ตาแหกยิ่งขึ้นไปใหญ่ เช่น ตัวเลขข้อมูลที่ ส.ส.หญิงพรรคเดโมแครต อ้างว่าได้มาจากคำให้การคณะทำงานด้านการแพร่ระบาดไวรัส “COVID-19” ของทำเนียบขาวเอง ถึง “ความเป็นไปได้” ที่เชื้อโรคชนิดนี้จะส่งผลให้บรรดาอเมริกันชน ต้อง “ติดเชื้อ” กันถึง 46 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนประชากรประเทศ หรือประมาณ 70-150 ล้านคน เอาเลยถึงขั้นนั้น รวมทั้งอาจส่งผลให้ต้องเด๊ดสะมอเร่ อิน เดอะ เท่งทึง กันเป็นจำนวนถึง 700,000- 1,500,000 คน เอาเลยก็ไม่แน่!!!
นี่...เจอเข้ากับตัวเลขระดับนี้ ถึงไม่คิดจะ “แหก” แต่ยังไงๆ มันคงต้อง “แหก” กันจนได้นั่นแหละทั่น ยิ่งลักษณะอาการการ “ตั้งรับ” การแพร่ระบาดของโรคชนิดนี้นับแต่แรก มันไม่ค่อยออกอาการกระตือรือร้นมากมายสักเท่าไหร่ บวกกับจุดอ่อน จุดบกพร่องของ “ระบบสาธารณสุข” หรือ “ระบบประกันสุขภาพ” ในอเมริกา ที่ไม่ได้เอื้ออำนวยให้กับผู้คนส่วนใหญ่ให้กับประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน แต่กลับหนักไปทางเอื้ออำนวยให้กับพ่อค้า โดยพ่อค้า และเพื่อพ่อค้า ตามแบบฉบับความเป็น “ประชาธิปไตยอเมริกา” นั่นเอง หรือทุกสิ่งทุกอย่างมีแต่ “แพง...กับ...แพง” จนปุถุชนคนธรรมดายากส์ส์ส์จะเข้าถึงการดูแลรักษา เยียวยาสุขภาพตัวเองได้ง่ายๆ ต่างไปจาก “เผด็จการเมืองจีน” ที่ทุกสิ่งทุกอย่างมีแต่ “ฟรี...กับ...ฟรี” ไปด้วยกันทั้งสิ้น โอกาสการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสชนิดนี้ จึงยิ่งมีความเป็นไปได้สูงยิ่งขึ้นไปเท่านั้น และนั่นเอง...ที่อาจเป็นสาเหตุให้ประธานสภาฯ แห่งพรรคเดโมแครต “นางแนนซี เพโลซี” ต้องออกมาเรียกร้องทำข้อตกลงไว้กับรัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ “นายสตีเวน มนูชิน” หลังการจัดสรรงบประมาณ 50,000 ล้านดอลลาร์ของรัฐบาลกลาง เพื่อรับมือกับการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ว่าจะต้องให้ผู้สงสัยว่าตัวเองติดเชื้อ หรือไม่ติดเชื้อ มีโอกาสได้รับการทดสอบแบบฟรีๆ โดยไม่คิดมูลค่าแต่อย่างใด...
แต่ไม่ว่าพรรคฝ่ายค้านอย่างเดโมแครต หรือพรรครัฐบาลอย่างรีพับลิกัน จะฉวยจังหวะนำเอาเรื่องการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสชนิดนี้ ไปใช้หาเสียง หาคะแนนนิยม ในช่วงใกล้โค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งประธานาธิบดี อีกไม่กี่เดือนข้างหน้าในลักษณะไหน แต่เชื้อไวรัส “COVID-19” ตัวนี้ มันคงไม่ได้สนใจว่าใครเป็นเดโมแครต ใครเป็นรีพับลิกัน หรือกระทั่งใครเป็นประธานาธิบดี ไม่ว่าในวันนี้ หรือวันหน้าแต่อย่างใด โดยเฉพาะเมื่อมันสามารถโดดเกาะปอด เกาะม้าม เกาะทางเดินหายใจ ฯลฯ ของคนอย่าง “นายNestor Forster” เอกอัครราชทูตบราซิลประจำสหรัฐฯ “นายFabio Wajngatern”โฆษกประจำตัวประธานาธิบดีบราซิล ไปจนวุฒิสมาชิกบราซิล “นายNelsinho Trad” ฯลฯ ที่ยกโขยงร่วมขบวนประธานาธิบดีบราซิล “นายJair Bolsonaro” มาจับมือ ถือแขน ยืนถ่ายรูปแบบเคียงบ่า-เคียงไหล่กับบรรดานักการเมืองอเมริกา สื่อมวลชน ตลอดไปจนตัวประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีอเมริกัน ณ รีสอร์ตส่วนตัวของประธานาธิบดี ที่ “Mar-a-Lago” เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ดังนั้น...เมื่อบรรดากลุ่มบุคคลที่ว่า ได้รับ“ผลทดสอบการติดเชื้อ” ว่าล้วนแต่เป็น “บวก” ไปด้วยกันทั้งสิ้น จึงเกิดคำถามขึ้นมาว่า...แล้วผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” จะตกเป็นเหยื่อของ “COVID-19” ไปด้วยแล้วหรือไม่???
อันนี้นี่แหละ...ที่มันยิ่งยุ่งกับยุ่งหนักขึ้นไปใหญ่!!! เพราะขณะที่นักการเมืองอเมริกันที่ร่วมเสนอหน้าในงานเลี้ยงรับรองคราวนี้ บางรายยอมถูกกักตัวเอาไว้ 14 วัน อย่าง “นายลินด์เซย์ เกรแฮม” วุฒิสมาชิกแห่งรัฐเซาท์แคโรไลนา แต่บางรายก็ไม่ยอมถูกกักตัว อย่าง “นายมาร์โค รูบิโอ” วุฒิสมาชิกแห่งรัฐฟลอริดา ที่กระเหี้ยนกระหือรืออยากโค่นล้มผู้นำเวเนซุเอลาให้จงได้ จนต้องเข้าไปจับมือถือแขนแบบใกล้ชิดสนิทสนมเอามากๆ กับนักการเมืองบราซิลทั้งหลาย แต่สำหรับผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” รวมทั้งรองประธานาธิบดี “ไมค์ เพนซ์” นี่สิ!!! จะยอมถูกกักตัว หรือไม่ยอมถูกกักตัว ก็ยังไม่เป็นที่ชัดเจน ที่แน่ๆ ก็คือ...หลังจากยืนถ่ายรูป หายใจรดหน้ากับโฆษกประธานาธิบดีบราซิลผู้ติดเชื้อ “COVID-19” ไปเรียบร้อยแล้ว ผู้นำอเมริกันยังต้องไปจับมือถือแขนกับวุฒิสมาชิกรัฐจอร์เจีย และรัฐฟลอริดา “นายดัก คอลลินส์” และ “นายแมตต์ เกตซ์” ฯลฯ ต่อไปอีกเป็นทอดๆ...
การเมืองอเมริกา...ช่วงโค้งสุดท้ายการเลือกตั้งประธานาธิบดี เลยเต็มไปด้วยบรรยากาศของ “ไวรัสทางการเมือง” หรือเป็นการเมืองที่ต้องมีเรื่องไวรัสเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธ แม้แต่พรรคฝ่ายค้านอย่างเดโมแครต มาถึงขณะนี้...ก็ยังไม่รู้ว่าจะรณรงค์หาคะแนนนิยมของผู้เสนอตัวเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีกันด้วยวิธีไหน เมื่อต้องเลื่อนการออกเสียงในแต่ละรัฐออกไปโดยไม่มีกำหนด โดยถ้าคิดจะลงคะแนนเสียงแบบ “ออนไลน์” ก็ดันกลัว “แฮกเกอร์รัสเซีย” เข้ามาก่อกวน แทรกแซงซะอีกต่างหาก เชื้อไวรัส “COVID-19” ตัวนี้ จึงชักจะก่อความปั่นป่วนวุ่นวาย ให้ประเทศมหาอำนาจสูงสุดอย่างอเมริกามิใช่น้อย แต่ที่อาจหนักยิ่งไปกว่านั้น...ถ้าหากเป็นไปตามที่นักวิเคราะห์เศรษฐกิจ “CEO” แห่งบริษัท “Euro Pacific Capital” “นายPeter Schiff” ออกมาทำนายเอาไว้ก่อนล่วงหน้าว่า...ไวรัสตัวนี้จะเป็นตัวสร้างผลกระทบให้กับ “ฟองสบู่หนี้” ของอเมริกา จนถึงขั้นต้องแตกระเบิดในอีกไม่นาน-ไม่ช้า หรือจะเป็น “จุดเริ่มต้นของวิกฤตการเงินครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์อเมริกา” อันนี้...ต้องเรียกว่า ไม่ใช่แค่ “หูแหก-ตาแหก” แต่อวัยวะทุกส่วนในร่างกาย อาจต้องถูกแหก ถูกแยกออกเป็นชิ้นๆ เอาเลยก็ไม่แน่!!!