xs
xsm
sm
md
lg

เชื้อไวรัสกับเรื่องเงินๆ-ทองๆ

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท


นายRay Dalio ผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์
มาถึง ณ ขณะนี้...คงต้องสรุปว่า ยังแทบ “ไม่มีข้อสรุป” ใดๆ ที่ชัดเจน ว่าการออกฤทธิ์ ออกเดชของเจ้าโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่อย่าง “COVID-19” นั้น มันจะหมดฤทธิ์ หมดเดช หรือจะเริ่มสร่างๆ ซาๆ กันลงไปอีตอนไหน เมื่อไหร่ และอย่างไร??? บ้างก็ว่าอาจต้องรอไปอีกประมาณ 12 เดือน หรือ 18 เดือนข้างหน้า บ้างก็ว่าอีกประมาณสัก 10-12 สัปดาห์ข้างหน้า ซึ่งก็คงต้องแล้วแต่จะว่ากันไป ตามมุมมอง ทัศนะ และจุดยืนของแต่ละราย ว่าจะมองในโลกในแง่ดี-แง่ร้าย หรือแง่ที่สอดคล้องกับ “โลกแห่งความเป็นจริง” มากหรือน้อยขนาดไหน...

แต่ที่น่าห่วง น่าหนักใจ ยิ่งไปกว่านั้นก็คือว่า...ก็ยังแทบ “ไม่มีข้อสรุป” ใดๆ อีกเช่นกัน ว่าผลข้างเคียง หรือ “ผลกระทบ” จากการแพร่ระบาดของเจ้าเชื้อโรคสายพันธุ์ใหม่ตัวนี้ มันจะนำมาซึ่งอะไรต่อมิอะไร ไม่ว่าในทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม กันในระยะต่อไป จะ “บวก” จะ “ลบ” กันในแง่ไหน แบบไหน หรือจะ “บวกสำหรับใคร” และ “ลบสำหรับใคร” อะไรทำนองนั้น แต่ที่แน่ๆ ก็คือสำหรับใครก็ตามที่ชอบหมกๆ มุ่นๆ อยู่กับเรื่อง “เงินๆ-ทองๆ” หรือเรื่องประเภทเศรษฐกิจและธุรกิจทั้งหลาย น่าจะหนีไม่พ้นต้องมีแต่ “ลบ...กับ...ลบ” ชนิดมือ-ไม้เปื่อย กระดาษเปื่อย ยางลบเปื่อย เอาเลยก็ไม่แน่!!!

หรืออย่างที่อภิมหาเศรษฐกิจนักเศรษฐกิจ-ธุรกิจระดับโลก “นายRay Dalio” ผู้ก่อตั้งกองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก อย่างกองทุน “Bridgewater Associates” ออกมาบอกกล่าวไว้กับสถานีโทรทัศน์ “CNBC” เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานั่นแหละว่า ผลแห่งการแพร่ระบาดของเจ้าเชื้อไวรัส “COVID-19” ตัวนี้ ได้ทำให้เงินๆ-ทองๆ สูญหายจาก “ตลาด” ไปแล้ว จำนวนไม่ต่ำกว่า 12 ล้านล้านดอลลาร์ หรือจะกี่ร้อยล้านล้านบาทก็ลองเอา 30 กว่าบาทไปคูณๆ กันดู และแน่นอนว่าสำหรับบรรดาประเทศที่ถือเป็นศูนย์กลาง เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ หรือเป็นตัวสร้างเงิน สร้างทองให้กับใครต่อใครในโลก ไม่ว่าจะเป็นประเทศจีน หรืออเมริกา ย่อมต้องได้รับการจับตา หรือย่อมเป็นที่สนใจต่อบรรดาพวกที่ชอบเงินๆ-ทองๆ ทั้งหลาย ว่าจะสามารถสร้าง “ผลบวก” หรือ “ผลลบ” ให้กับความเป็นไปทางเศรษฐกิจ-ธุรกิจ ในอนาคตเบื้องหน้า ได้ในแบบไหน อย่างไร???

สำหรับประเทศจีนนั้น...การที่รัฐบาลจีนเขาสามารถ “เอาอยู่” หรือสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสตัวนี้ ภายในช่วงระยะเวลาแค่ไม่กี่เดือน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผลพอสมควร ถึงขั้นสามารถเดินเครื่องสายพานการผลิตบางส่วน บางอย่าง ที่มีความเกี่ยวพันกับสิ่งที่เรียกว่า “ห่วงโซ่แห่งอุปทาน” ได้บ้างแล้ว ก็น่าจะทำให้ใครต่อใครถอนหายใจ โล่งอก โล่งใจกันไปได้มั่งไม่มากก็น้อย แต่สำหรับคุณพ่ออเมริกานี่สิ!!! จะด้วยเหตุเพราะความประมาท ความ “ดูเบา” ต่อฤทธิ์เดชเชื้อไวรัสตัวนี้เอาไว้แต่แรก หรือเพราะความมีเสรีภาพ ความเป็นประชาธิปไตย หรือความอะไรต่อมิอะไรก็แล้วแต่ ฯลฯ นอกจากทำท่าว่าชักจะ “เอาไม่อยู่” จำนวนคนติดเชื้อ คนตายจากเชื้อไวรัสตัวนี้ ชักมาแรงแซงโค้ง แย่งเหรียญเงิน เหรียญทอง เหรียญทองแดงกับประเทศในยุโรปอย่างอิตาลี เยอรมนี ฝรั่งเศส แบบชนิดหายใจรดต้นคอ มาตรการเพื่อรองรับกับ “ผลกระทบทางเศรษฐกิจ” ที่กำลังตามมาติดๆ แทนที่จะก่อให้เกิด “ผลบวก” ต่อตัวเองและผู้อื่น ไม่ว่าในทางเป็นจริง หรือทางความรู้สึกก็ตาม ไปๆ-มาๆ กลับถูกมองไปในแง่ “ลบ” ซะเป็นหลักใหญ่ หรือไม่ได้ช่วยให้เกิดความโล่งอก โล่งใจ ต่อ “ตลาด” มากมายสักเท่าไหร่นัก...

หรือดังที่ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ-ธุรกิจของจีน อย่าง “นายLi Chunding” และ “Lin Xin” เขาได้แสดงความคิด ความเห็นไว้ในข้อเขียน บทความ ที่ตีพิมพ์เผยแพร่ในเว็บไซต์ “Global Times” เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ในฐานะที่จีนถือเป็น “เจ้าหนี้รายใหญ่” ของสหรัฐอเมริกานั่นแหละว่า มันออกจะเป็นมาตรการแบบเดิมๆ แบบซ้ำๆ ซากๆ ที่ไม่ว่า “ธนาคารกลาง” ของสหรัฐฯ หรือรัฐบาล มักหยิบมาใช้กันโดยตลอด ไม่ว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในระดับใกล้ๆ จะศูนย์เปอร์เซ็นต์ ไปจนถึงการอาศัย “มาตรการผ่อนคลายในเชิงปริมาณ” หรือที่เรียกกันย่อๆ ว่า “QE” (Quantitative Easing) ด้วยการพิมพ์เงินเพิ่มเข้าไปในระบบกันนับเป็นล้านล้านดอลลาร์ ชนิดเงินดอลลาร์ที่ท่วมโลกอยู่แล้วในทุกวันนี้ ยิ่งมีโอกาสท่วมหู ท่วมหาง ไม่ใช่แต่เฉพาะภายในสังคมอเมริกันเท่านั้น แต่อาจก่อให้เกิด “ภาวะเงินเฟ้อระดับโลก” (Global inflation) เอาง่ายๆ!!!

แม้ว่าเงินเหล่านี้จะถูกนำมาจำหน่ายจ่ายแจกให้กับบรรดาอเมริกันชน ที่กำลังใกล้เวลาเข้าคูหา-กาบัตรเลือกตั้งประธานาธิบดีในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า รายละเป็นพันๆดอลลาร์ แบบชนิดให้ฟรี แจกฟรี แบบ “ตกเขียว” หรือแบบ “Helicopter money” ก็แล้วแต่จะเรียก อาจพอช่วยเยียวยาความทุกข์ ความยากของชาวอเมริกันที่กำลังเผชิญหน้ากับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส “COVID-19” ได้บ้าง แต่มันคงไม่ได้ก่อให้เกิด “ผลผลิต” ใดๆ ขึ้นมา ไม่ได้ก่อให้เกิดการจ้างงาน เกิดความมั่นคงต่อระบบเศรษฐกิจในระดับโครงสร้าง หรือทำให้ “รายจ่าย” ของรัฐบาลกลางมีแต่สูงขึ้นๆ ขณะที่ “รายได้” อันเกิดจากเม็ดเงินภาษีของประชาชนลดลงๆ และนั่นย่อมทำให้ “หนี้สิน” ของรัฐบาลและของประเทศ ที่ขึ้นไปถึงประมาณ 23 ล้านล้านดอลลาร์เข้าไปแล้วในทุกวันนี้ หรือประมาณ 107 เปอร์เซ็นต์ของตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) มีแต่ยิ่งต้องท่วมหัว ท่วมหางหนักขึ้นไปอีก หรือทำให้ “วิกฤตหนี้สิน” ในสหรัฐฯ ที่เคยถูก “ผู้มองโลกในแง่ดี” ประมาณการไว้ว่า อาจต้องใช้เวลาอีก 10 กว่าปี หรือประมาณปี ค.ศ. 2035 โน่นเลย ถึงอาจเกิดภาวะ “อภิมหามารดาแห่งฟองสบู่” แตกขึ้นมาจริงๆ แต่หลังจากเจอการงัดมาตรการพิมพ์เงินเพิ่มอัดฉีดเข้ามาในระบบอีกไม่น้อยกว่า 4 ล้านล้านดอลลาร์ เพื่อรับมือกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสคราวนี้ของรัฐบาลและธนาคารกลางสหรัฐฯ ถ้าว่ากันตามความเห็นของนักข่าวเศรษฐกิจ และผู้เขียนบทบรรณาธิการให้กับหนังสือพิมพ์ในอเมริกาหลายต่อหลายฉบับ อย่าง “นายNicholas Sheppard” ช่วงระยะเวลาดังกล่าว กำลังถูกย่นย่อให้เร็วขึ้นมา หรือใกล้เข้ามาอาจอีกไม่กี่ 10 เดือนนับจากนี้ เอาเลยก็ไม่แน่!!!

หรือถ้าว่าตามความคิด ความเห็นของหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจ “Bank of America” อย่าง “Michelle Meyer” ก็คงไม่ต่างไปจากกันสักเท่าไหร่ คือมองว่า “งานจะหายไป-ความมั่งคั่งจะถูกทำลาย-และความเชื่อมั่นแทบไม่หลงเหลือ” หรือมองว่า “ภาวะถดถอย” ของเศรษฐกิจอเมริกา กำลังเริ่มต้นขึ้นแล้ว เนื่องจากความพยายามแก้ปัญหา “ผลกระทบทางเศรษฐกิจ” แบบเดิมๆ หรือแบบซ้ำๆ ซากๆ ของรัฐบาลและของธนาคารกลางนั้น แทบไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมาเอาเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าอาจช่วยให้ผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” มีโอกาสกลับเข้ามาเป็นประธานาธิบดีรอบใหม่ได้ก็ตาม...

จริง-ไม่จริง...ก็ลองไปนั่งคิด นอนคิด กันเอาเองก็แล้วกัน เพราะสำหรับบ้านเรานั้น แค่การดาหน้าออกมาแถลง “ข่าวด่วน” ของผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ปลัดคลัง เลขาธิการ กลต.ไปจนรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฯลฯ เมื่อช่วงวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เพื่อสร้างความมั่นอก-มั่นใจ ให้บรรดาผู้ชอบเงิน ชอบทอง หรือผู้ที่ต้องหมกมุ่นอยู่กับเรื่องเงินๆ-ทองๆ ทั้งหลาย ด้วยมาตรการต่างๆ นานา ไม่ว่าการสร้างกลไกพิเศษ การจัดตั้งกองทุนเพื่อลดความเสี่ยงในการระดมทุน การดูแลตลาดพันธบัตรภาครัฐให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ฯลฯ แค่ฟังไป-ฟังมา...ก็ออกจะปวดหัวพอสมควรแล้ว เพราะการหาทาง “เยียวยา” อะไรก็ตาม ถ้าหากมันไม่ได้ก่อให้เกิดการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกันในระดับ “โครงสร้าง” แล้ว โอกาสที่จะรับมือกับผลข้างเคียง หรือผลกระทบจากฤทธิ์เดชของ “เชื้อไวรัสเปลี่ยนโลก” ตัวนี้ มันน่าจะ “ลำบาก” เอามากๆ!!!
กำลังโหลดความคิดเห็น