xs
xsm
sm
md
lg

เชื้อไวรัสกับสังคมอเมริกัน

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท


ไมเคิล บลูกเบิร์ก มหาเศรษฐีชาวอเมริกัน
แค่เรื่อง “ผีน้อย” หรือคนไทยที่แอบเข้าไปทำมาหารับประทานในประเทศเกาหลีใต้ คิดแห่กลับบ้าน กลับช่อง เพราะกลัวถูกไวรัส “COVID-19” เล่นงาน ก็เล่นเอาผู้คนในบ้านเราหันมาออกอาวุธใส่กันเองแบบชนิดดอกต่อดอก เกิดความแตกต่าง แตกแยก ในทางความคิด ความเห็น ตั้งแต่ระดับปุถุชนคนธรรมดา ไปจนบรรดา “นักการเมือง” ที่ย่อมไม่คิดจะพลาดโอกาส ในการหยิบการฉวยเอาประเด็นใดๆ ก็ตาม ที่กำลังร้อนๆ มาเล่นงานฝ่ายตรงข้ามแบบไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย...

ซึ่งต้องถือเป็นธรรมชาติของสังคมประชาธิปไตย หรือ “ธรรมชาติทางการเมือง” ตามระบอบประชาธิปไตย ไม่ว่าจะมีอยู่ครึ่งเสี้ยว ครึ่งใบ หรือมีอยู่ขนาดไหนก็ตามแต่ ที่การแกว่งส้นมือ ส้นตีน การสาดสากกะเบือบินใส่กันและกัน ถือเป็น “ข้อเท็จจริง” ชนิดหนึ่งอันมิอาจปฏิเสธได้ ไม่ต่างไปจากต้นแบบ แม่แบบ ในทางประชาธิปไตยอย่างคุณพ่ออเมริกาเขานั่นแหละ ที่บรรยากาศการเผชิญหน้ากับเชื้อไวรัสตัวนี้ในสังคมอเมริกา ไม่ว่าตั้งแต่ยอดถึงฐาน ออกจะผิดแผกแตกต่างไปจากประเทศเผด็จการอย่างคุณพี่จีน แบบชนิดคนละเรื่อง คนละม้วน...

คือนอกจากแทบไม่ได้ปรากฏบรรยากาศแห่ง “ความร่วมมือ-ร่วมใจ” ในการต่อสู้เพื่อเอาชนะโรคร้าย โรคระบาด อย่างเท่าที่ควรจะเป็นแล้ว ท่ามกลางฉากสถานการณ์ที่การแพร่ระบาดของเชื้อ “COVID-19” มันดันมาตรงกับใกล้ๆ ช่วงโค้งวัดเบญจฯ หรือช่วงใกล้ๆ โค้งสุดท้ายแห่งการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกันรอบใหม่ แบบแทบพอดิบ พอดี ระหว่างที่บรรดาอเมริกันชนทั้งหลายกำลังออกอาการ “หูแหก-ตาแหก” ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะเมื่อตัวเลขคนตาย คนติดเชื้อ ชักจะพุ่งพรวดๆ พราดๆ ขึ้นมามั่งแล้ว เชื้อไวรัส “COVID-19” จากเมืองจีน ก็เลยถูกหยิบฉวย ถูกตัดต่อพันธุกรรม ถูกดัดแปลงไปเป็นนวัตกรรมทางการเมือง ของบรรดานักการเมืองอเมริกัน ในการเล่นงานฝ่ายตรงข้าม ชนิดอาจหนักหนาสาหัสกว่าบ้านเราเอาเลยก็ไม่แน่

แน่ล่ะว่า...สำหรับนักการเมืองที่สุดคร่อกก์ก์ก์ แสนคร่อกก์ก์ก์ อย่าง “ทรัมป์บ้า” ผู้คิดจะต่อตั๋วยาว คิดสืบทอดอำนาจความเป็นประธานาธิบดีอเมริกาต่อไปอีกสมัย ไม่เพียงไม่คิดจะพลาดโอกาสในการหยิบเอา “เชื้อโรค” ตัวนี้ มาหาเสียงไว้ก่อนล่วงหน้า ด้วยการอ้างว่า การตัดสินใจ “ปิดประเทศ” ไม่ต้อนรับคนจีนที่จะเดินทางเข้ามายังอเมริกาแบบฉับพลัน-ทันที หรือตั้งแต่ช่วงแรกๆ ที่มีข่าวการแพร่ระบาด ถือเป็นการช่วย “เซฟชีวิต” ของบรรดาอเมริกันชนได้เป็นจำนวนไม่น้อย แถมลามปามไปยังนักการเมืองในพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้าม ที่คิดเล่นงานตัวเองก่อนหน้านี้ ว่ามีพฤติกรรมทางการเมืองไม่ต่างอะไรไปจาก “เชื้อไวรัสโคโรนา” เอาเลยถึงขั้นนั้น...

ส่งผลให้บรรดาผู้ซึ่งกำลังรณรงค์หาเสียงเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตในแต่ละราย ต้องหันมารุมกระทืบ รุมสาดสากกะเบือบินใส่ประธานาธิบดีอเมริกา รายละสาก-สองสาก ไล่มาตั้งแต่ “นางElizabeth Warren” วุฒิสมาชิกรัฐแมสซาชูเซตส์ ที่ออกมาวิพากษ์ วิจารณ์ถึงการนำเอางบประมาณเม็ดเงินภาษีของชาวอเมริกัน ไปสร้าง “กำแพง” ของ “ทรัมป์บ้า” โดยไม่ได้คิดเหลียวแลต่อการคุ้มครอง ดูแลสุขภาพของประชาชนชาวอเมริกันอย่างเท่าที่ควรจะเป็น ส่งผลให้ชาวอเมริกันที่ไม่ได้รับสิทธิการคุ้มครอง ดูแล ด้านสุขภาพที่มีจำนวนปาเข้าไปถึง 28 ล้านคน ย่อมหนีไม่พ้นต้องตกอยู่ใน “ความเสี่ยง” ในการเผชิญหน้าเชื้อไวรัสตัวนี้ ต่างไปจากประชาชนในประเทศเผด็จการอย่างเมืองจีน ที่ทุกสิ่งทุกอย่างมีแต่ “ฟรี...กับ...ฟรี” ไปด้วยกันทั้งสิ้น...

ไม่ต่างไปจาก “นายBernie Sanders” วุฒิสมาชิกจากรัฐเวอร์มอนต์ ที่ไม่เพียงแต่ชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงและความขาดแคลนด้านการดูแล คุ้มครองสุขภาพของบรรดาอเมริกันชนแล้ว ยังพยายามเน้นให้เห็นถึงความมีนอก-มีใน มีผลประโยชน์ทับซ้อนของนักการเมืองอเมริกันกับนักธุรกิจประเภท “เจ้าสัว” ทั้งหลาย โดยเฉพาะกรณีประธานาธิบดีอเมริกันอย่าง “ทรัมป์บ้า” ตัดสินใจแต่งตั้ง “ล็อบบี้ยิสต์” บริษัทยา ให้ขึ้นมาเป็น “รัฐมนตรีสาธารณสุข” อเมริกาซะเฉยเลย ส่งผลให้บรรดาชาวอเมริกันทั้งหลาย ย่อมหนีไม่ต้องบริโภคยาแพงๆ ค่ารักษาพยาบาลแพงๆ ไปโดยตลอด ขณะที่ “ช่องว่าง” ระหว่างคนรวยกับคนจน ยิ่งถูกถ่างกว้างยิ่งเข้าไปทุกที...

ส่วนอภิมหาเศรษฐีอย่าง “นายMike Blomberg” ก็หันไปโจมตีเรื่อง “ภาวะผู้นำ” ของ “ทรัมป์บ้า” กันแทนที่ ในฐานะที่ไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นใดๆ ให้กับอเมริกันชน ในการรับมือกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสคราวนี้ ได้อย่างเป็นจริง เป็นจัง โดยถึงกับนำเอาคำพูดของประธานาธิบดี ที่ออกมาปลอบประโลมชาวอเมริกันเอาไว้ประมาณว่า เชื้อไวรัสตัวนี้มันคงหายๆ ไปเอง เมื่ออุณหภูมิอากาศในอเมริกาอุ่นๆ ขึ้นมามั่ง มาเสียดสี เหน็บแนมตัดต่อให้เป็นคลิปโฆษณาหาเสียงของตัวเอง ก่อนตบท้ายด้วยข้อสรุปว่า อภิมหาเศรษฐีระดับ “ของจริง-ของแท้” ไม่ใช่ “ของปลอม” อย่างตัวเองนั้น “เหมาะที่จะเป็นผู้นำ” ซะยิ่งกว่า “ทรัมป์บ้า” ไม่รู้กี่เท่า ต่อกี่เท่า...

สำหรับ “ตัวเกร็ง” หรือ “ตัวเก็ง” ผู้ที่จะได้รับการเสนอชื่อแห่งพรรคเดโมแครต อย่างอดีตรองประธานาธิบดี “Jo Biden” ก็หันไปหยิบเอาความไม่ลงรอย ไม่ลงตัว ระหว่างทำเนียบขาวกับหน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องการแพร่ระบาดของเชื้อโรคโดยตรง อย่างองค์กร “CDC” ที่ถูกประธานาธิบดีจ้องจะตัดงบประมาณชนิดแทบไม่เหลือขีดความสามารถในการรับมือกับเชื้อไวรัสตัวนี้ได้เลยจนต้องหันไปอาศัยบริการของสภาคองเกรส ที่พรรคเดโมแครตเป็นเสียงข้างมาก ถึงพอจะเกิดศักยภาพ พอที่จะมีงบประมาณในการเอาชนะคะคานกับเชื้อโรคตัวนี้ได้บ้าง...

คือต้องเรียกว่า...ต่างฝ่ายต่างหันมา “ใส่” กันชนิดดอกต่อดอก ขณะที่ “สื่อฯ” อเมริกัน ที่ไม่เพียงถือหางของแต่ละฝ่าย ไปตาม “รสนิยม” ของใครก็ของมัน แต่ยังเห็นว่า “ความหูแหก-ตาแหก” ของชาวอเมริกัน ย่อมเป็นอะไรที่ “ขายได้” เลยหนีไม่พ้นต้องหยิบเอาเรื่องราวทำนองนี้มา “ขายข่าว” กันชนิดวันต่อวัน นาทีต่อนาที และนั่นเอง...ที่อาจเป็นตัวส่งผลให้ “ตลาดหุ้นดาวโจนส์” เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา จำนวนเม็ดเงินถึงกับสูญหายไปจากตลาดราวๆ 5 ล้านล้านดอลลาร์ หรือสูงสุดนับจากที่เคยเกิดเหตุการณ์ทำนองนี้ ในช่วง “วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์” เมื่อประมาณสิบกว่าปีที่ผ่านมา จนทำให้นักวิเคราะห์เศรษฐกิจชาวอเมริกันเอง อย่าง “นายJefferey Tucker” แห่งสถาบันวิจัยเศรษฐกิจอเมริกา (The American Institute for Economic Research) ต้องออกมา “ฟันธง” แบบชนิดเต็มผืน เต็มด้าม ว่าเศรษฐกิจอเมริกามีสิทธิ “เดี้ยง...กับ...เดี้ยง” ตั้งแต่ไตรมาสแรกของปีนี้ อันเนื่องมาจาก “เชื้อไวรัส COVID-19” ตัวนี้นี่เอง ตามคำพูดที่ว่า... “ตลาดไม่เคยโกหก ความกลัวเป็นเรื่องจริง แม้ไม่ใช่ความกลัวต่อตัวเชื้อโรค แต่เป็นความกลัวต่อความเป็นไปทางเศรษฐกิจ ท่ามกลางอัตราความเร็วในการไหลไป-ไหลมาของเงิน หรือทุน ซึ่งตกอยู่ภายใต้แรงกดดันอันมหาศาลจากความกลัวเหล่านี้ ความพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจของเฟด (Federal Reserve) ก็คงช่วยอะไรแทบไม่ได้!!!” จริง-ไม่จริง...คงต้องคอยดูกันอีกที แต่ที่แน่ๆ ก็คือ...นิทานเรื่องนี้น่าจะสอนให้รู้ว่า “กฎแห่งกรรม” นั่นแลคือเรื่องจริง...
กำลังโหลดความคิดเห็น