เชื่อว่าหลายคนกำลังตื่นตระหนกมากขึ้นว่า โรคระบาดจากเชื้อไวรัส “โควิด-19”ที่กำลังแพร่กระจายในประเทศไทยแบบเป็นวงกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าทางกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งยังเป็นหน่วยงานหลักที่ดูแลและควบคุมโรคดังกล่าว จะยังยืนยันว่ายังเป็นการระบาดใน “ระดับที่ 2”นั่นคือ ยังเป็นแบบรู้ที่มาที่ไป ว่าใครติดต่อติดเชื้อมาจากใคร ที่ไหนก็ตาม ยังไม่ไปถึงขั้นในระดับที่ 3 ที่เป็นแบบไม่รู้ที่มาที่ไปว่าติดเชื้อมาจากใคร และที่ไหนก็ตาม ความหมายก็คือยังอยู่ในขั้นที่ “ยังควบคุมได้”
แต่จากตัวเลขที่มีการแถลงออกมาล่าสุด ตั้งแต่เมื่อวันอาทิตย์ที่ 15 มีนาคม ที่มีตัวเลขผู้ติดเชื้อพรวดเดียววันเดียวถึงจำนวน 32 คน นั้นถือว่าไม่ธรรมดา และช่วยไม่ได้ที่จะทำให้ชาวบ้านเพิ่มความหวั่นไหวและตื่นตระหนกมากขึ้นกว่าเดิม
เพราะจากการรายงานออกมาว่ามีบางคนที่ติดเชื้อหลังจากไปร่วมกิจกรรมในสถานที่ที่มีการชุมนุมของคนจำนวนมากนับหมื่น เช่นในสนามมวย ที่บางคนเป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่ เช่นระดมเจ้ากรมสวัสดิการทหารบก หรือเป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นต้น ซึ่งคนเหล่านี้ย่อมต้องมีความเคลื่อนไหวในพื้นที่ เช่น การไปร่วมงานสังคมจำนวนมาก เพราะหากบอกว่าเชื้อไวรัสโควิด 19 มีระยะฟักตัว 14 วัน ทำให้สงสัยกันว่า ในช่วงเวลานั้นพวกเขาได้ไปงานเลี้ยง ไปงานศพ งานแต่งงานไปบ้านหัวคะแนน ที่ไหนบ้าง
เหมือนกับกรณีของ พล.ต.ราชิต อรุณรังษี เจ้ากรมสวัสดิการทหารบก ติดเชื้อไวรัส โควิด 19 และ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดฉะเชิงเทรา รวมไปถึงดารานักแสดงที่เป็นข่าวยืนยันไปแล้วว่าติดเชื้อ จนมีการนำเข้ารักษาอาการที่โรงพยาบาล ก็ล้วนมาจากการมีกิจกรรม เข้าร่วมงานมากมาย และทำให้เกิดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดทำให้คนอื่นต้องติดเชื้อเป็นวงกว้าง
แน่นอนว่า เมื่อชาวบ้านเห็นตัวเลขจำนวนผู้ติดเชื้อ รวมไปถึงการแถลงที่ระบุถึงแหล่งต้องสงสัยในการติดเชื้อ เช่น ที่สนามมวย สถานบันเทิงบางแห่งที่มีการรวมกลุ่มกันของผู้ที่ติดเชื้อ มันก็เหมือนกับการสร้างความตื่นตระหนกหมู่ คิดกันไปว่า เมื่อมีการรวมกลุ่มคนกันจำนวนมากแบบนั้นการแพร่ระบาดก็คงขยายออกไปเป็นวงกว้าง ลามเข้าสู่ครอบครัว ซึ่งมันเป็นเรื่องที่น่าหวาดวิตกกันอยู่แล้ว และเมื่อได้เห็นตัวเลขการแพร่ระบาดในต่างประเทศ โดยเฉพาะในยุโรป สหรัฐอเมริกา ที่มีตัวเลขผู้ติดเชื้อ ผู้เสียชีวิตในบางประเทศ เช่น อิตาลี สเปน ฝรั่งเศส สหรัฐฯ รวมไปถึงอิหร่าน หรือแม้แต่ประเทศในอาเซียนรอบบ้านเรา ทั้งมาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ เป็นต้น ประเทศพวกนี้ล้วนมีผู้ติดเชื้อมากกว่าเรา แต่คำถามก็คือ จะมีการระบาดมากกว่าเราหรือไม่ เพราะติดเชื้อยังไม่ได้แสดงอาการก็ได้ เพราะต้องรอสังเกตอาการใน 14 วันเสียก่อน
ดังนั้น เมื่อเห็นตัวเลขที่มีการติดเชื้อในทุกสาขาอาชีพที่มีการติดต่อกับคนจำนวนมาก ทั้งดารา ตำรวจ ทหาร นักการเมืองท้องถิ่น มันก็ทำให้มีแนวโน้มความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้น ซึ่งก็อย่าได้แปลกใจ ที่ทำให้ชาวบ้านเกิดอาการแตกตื่นแห่กันไปซื้อของกินของใช้ที่จำเป็นมากักตุนกันไว้จนตามห้างแทบทุกแห่งเกลี้ยงแผง และเชื่อว่าอาการตื่นแบบนี้ จะยังมีอยู่ต่อไปอีกระยะหนึ่ง แม้ว่าจะมีการยืนยันว่ามีสินค้าเพียงพอ ไม่จำเป็นต้องแห่ไปซื้อกักตุนพร้อมกันก็ตาม
** อีกด้านหนึ่งแม้จะรู้สึกเห็นใจรัฐบาล เห็นใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้นำประเทศที่ต้องแก้ปัญหาในภาวะวิกฤตของชาติ และของโลกในเวลานี้ ก็ต้องแสดงภาวะผู้นำออกมาให้เห็นอย่างรวดเร็ว และเต็มที่ ที่สำคัญต้องมีความ “เด็ดขาด”ออกมาให้เห็น เพราะหากเปรียบไปแล้ว นี่คือ “ภาวะสงครามโรค (โลก)”ก็ว่าได้ เพราะหาก “เอาไม่อยู่”ก็จะพากันตายหมู่
ขณะเดียวกันในภาวะแบบนี้ บรรดาพวกนักการเมือง หรือฝ่ายการเมืองไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ “อยากจะพูด”อยากจะแสดงความเห็น หรือแม้กระทั่งพวกที่ “หวังดีประสงค์ร้าย”ทั้งหลาย น่าจะ “หุบปาก”ลงไปบ้าง เพราะมันไม่ได้ประโยชน์ มีแต่สร้างความรำคาญ ประเภทที่คิดจะเปิดสภาฯ สมัยวิสามัญเพื่ออ้างว่าจะระดมความเห็นนั้น ขอให้เลิกคิดเถอะ เพราะรับรองว่าไม่มีทางที่จะโดดเด่น หรือแหลมคมไปกว่าที่มีอยู่ในตอนนี้หรอก ทางที่ดีควรหยุดพูด หยุดแสดงความเห็นซักพักหนึ่ง นั่นแหละคือการช่วยชาติที่ดีที่สุด แล้วปล่อยให้ทางฝ่ายบุคลากรทางการแพทย์ และกระทรวงสาธารณสุข เขาได้ทำงานให้เต็มที่ ขาดเหลืออะไรก็เสนอไปที่รัฐบาล ให้มีคำสั่งลงมา
**ความวุ่นวาย โกลาหลก็จะลดน้อยลง หากพวกนักการเมืองทั้งหลายหยุดแสดงความเห็นกันสักพักหนึ่ง ปล่อยให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้ทำงานแก้ปัญหาอย่างเต็มที่ !!
แต่จากตัวเลขที่มีการแถลงออกมาล่าสุด ตั้งแต่เมื่อวันอาทิตย์ที่ 15 มีนาคม ที่มีตัวเลขผู้ติดเชื้อพรวดเดียววันเดียวถึงจำนวน 32 คน นั้นถือว่าไม่ธรรมดา และช่วยไม่ได้ที่จะทำให้ชาวบ้านเพิ่มความหวั่นไหวและตื่นตระหนกมากขึ้นกว่าเดิม
เพราะจากการรายงานออกมาว่ามีบางคนที่ติดเชื้อหลังจากไปร่วมกิจกรรมในสถานที่ที่มีการชุมนุมของคนจำนวนมากนับหมื่น เช่นในสนามมวย ที่บางคนเป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่ เช่นระดมเจ้ากรมสวัสดิการทหารบก หรือเป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นต้น ซึ่งคนเหล่านี้ย่อมต้องมีความเคลื่อนไหวในพื้นที่ เช่น การไปร่วมงานสังคมจำนวนมาก เพราะหากบอกว่าเชื้อไวรัสโควิด 19 มีระยะฟักตัว 14 วัน ทำให้สงสัยกันว่า ในช่วงเวลานั้นพวกเขาได้ไปงานเลี้ยง ไปงานศพ งานแต่งงานไปบ้านหัวคะแนน ที่ไหนบ้าง
เหมือนกับกรณีของ พล.ต.ราชิต อรุณรังษี เจ้ากรมสวัสดิการทหารบก ติดเชื้อไวรัส โควิด 19 และ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดฉะเชิงเทรา รวมไปถึงดารานักแสดงที่เป็นข่าวยืนยันไปแล้วว่าติดเชื้อ จนมีการนำเข้ารักษาอาการที่โรงพยาบาล ก็ล้วนมาจากการมีกิจกรรม เข้าร่วมงานมากมาย และทำให้เกิดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดทำให้คนอื่นต้องติดเชื้อเป็นวงกว้าง
แน่นอนว่า เมื่อชาวบ้านเห็นตัวเลขจำนวนผู้ติดเชื้อ รวมไปถึงการแถลงที่ระบุถึงแหล่งต้องสงสัยในการติดเชื้อ เช่น ที่สนามมวย สถานบันเทิงบางแห่งที่มีการรวมกลุ่มกันของผู้ที่ติดเชื้อ มันก็เหมือนกับการสร้างความตื่นตระหนกหมู่ คิดกันไปว่า เมื่อมีการรวมกลุ่มคนกันจำนวนมากแบบนั้นการแพร่ระบาดก็คงขยายออกไปเป็นวงกว้าง ลามเข้าสู่ครอบครัว ซึ่งมันเป็นเรื่องที่น่าหวาดวิตกกันอยู่แล้ว และเมื่อได้เห็นตัวเลขการแพร่ระบาดในต่างประเทศ โดยเฉพาะในยุโรป สหรัฐอเมริกา ที่มีตัวเลขผู้ติดเชื้อ ผู้เสียชีวิตในบางประเทศ เช่น อิตาลี สเปน ฝรั่งเศส สหรัฐฯ รวมไปถึงอิหร่าน หรือแม้แต่ประเทศในอาเซียนรอบบ้านเรา ทั้งมาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ เป็นต้น ประเทศพวกนี้ล้วนมีผู้ติดเชื้อมากกว่าเรา แต่คำถามก็คือ จะมีการระบาดมากกว่าเราหรือไม่ เพราะติดเชื้อยังไม่ได้แสดงอาการก็ได้ เพราะต้องรอสังเกตอาการใน 14 วันเสียก่อน
ดังนั้น เมื่อเห็นตัวเลขที่มีการติดเชื้อในทุกสาขาอาชีพที่มีการติดต่อกับคนจำนวนมาก ทั้งดารา ตำรวจ ทหาร นักการเมืองท้องถิ่น มันก็ทำให้มีแนวโน้มความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้น ซึ่งก็อย่าได้แปลกใจ ที่ทำให้ชาวบ้านเกิดอาการแตกตื่นแห่กันไปซื้อของกินของใช้ที่จำเป็นมากักตุนกันไว้จนตามห้างแทบทุกแห่งเกลี้ยงแผง และเชื่อว่าอาการตื่นแบบนี้ จะยังมีอยู่ต่อไปอีกระยะหนึ่ง แม้ว่าจะมีการยืนยันว่ามีสินค้าเพียงพอ ไม่จำเป็นต้องแห่ไปซื้อกักตุนพร้อมกันก็ตาม
** อีกด้านหนึ่งแม้จะรู้สึกเห็นใจรัฐบาล เห็นใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้นำประเทศที่ต้องแก้ปัญหาในภาวะวิกฤตของชาติ และของโลกในเวลานี้ ก็ต้องแสดงภาวะผู้นำออกมาให้เห็นอย่างรวดเร็ว และเต็มที่ ที่สำคัญต้องมีความ “เด็ดขาด”ออกมาให้เห็น เพราะหากเปรียบไปแล้ว นี่คือ “ภาวะสงครามโรค (โลก)”ก็ว่าได้ เพราะหาก “เอาไม่อยู่”ก็จะพากันตายหมู่
ขณะเดียวกันในภาวะแบบนี้ บรรดาพวกนักการเมือง หรือฝ่ายการเมืองไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ “อยากจะพูด”อยากจะแสดงความเห็น หรือแม้กระทั่งพวกที่ “หวังดีประสงค์ร้าย”ทั้งหลาย น่าจะ “หุบปาก”ลงไปบ้าง เพราะมันไม่ได้ประโยชน์ มีแต่สร้างความรำคาญ ประเภทที่คิดจะเปิดสภาฯ สมัยวิสามัญเพื่ออ้างว่าจะระดมความเห็นนั้น ขอให้เลิกคิดเถอะ เพราะรับรองว่าไม่มีทางที่จะโดดเด่น หรือแหลมคมไปกว่าที่มีอยู่ในตอนนี้หรอก ทางที่ดีควรหยุดพูด หยุดแสดงความเห็นซักพักหนึ่ง นั่นแหละคือการช่วยชาติที่ดีที่สุด แล้วปล่อยให้ทางฝ่ายบุคลากรทางการแพทย์ และกระทรวงสาธารณสุข เขาได้ทำงานให้เต็มที่ ขาดเหลืออะไรก็เสนอไปที่รัฐบาล ให้มีคำสั่งลงมา
**ความวุ่นวาย โกลาหลก็จะลดน้อยลง หากพวกนักการเมืองทั้งหลายหยุดแสดงความเห็นกันสักพักหนึ่ง ปล่อยให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้ทำงานแก้ปัญหาอย่างเต็มที่ !!