ข่าวปนคน คนปนข่าว
**เอาอีกแล้วครับท่าน! เจ้าใหญ่นายโต ผลประโยชน์ม้ามวยในกองทัพ “ท่านเจ้ากรม” ส่อเป็น “ซูเปอร์ สเปรดเดอร์”?
พุ่งพรวดจนน่าตกใจ สำหรับยอดผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศไทย ที่กระทรวงสาธารณสุข แถลงเมื่อวานนี้ (15 มี.ค.) ที่เพิ่มขึ้นวันเดียวถึง 32 คน จากปกติที่ผ่านมา ที่ส่วนใหญ่เพิ่มแค่วันละคน สองคน หรือบางวันก็ไม่มีเพิ่มเลย
และใน 32 คนที่พบว่าป่วยติดเชื้อเมื่อวาน เมื่อแยกเป็นกลุ่มแล้ว ปรากฏว่า กลุ่มใหญ่ที่สุดมาจากสนามมวยเวทีลุมพินี ถึง 9 คน
ที่มีคนติดเชื้อจากเวทีมวยจำนวนมากขนาดนั้น มีกระแสข่าวมาว่า เป็นเพราะ “นายทหารชั้นผู้ใหญ่ระดับเจ้ากรมท่านหนึ่ง” ไปดูงานที่ฝรั่งเศส เมื่อกลับมาก็ไม่ยอมกักตัวเองอยู่ในบ้าน 14 วัน ตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข แต่กลับไปร่วมงาน ศึกลุมพินีแชมเปี้ยนเกริกไกร ที่สนามมวยลุมพินี รามอินทรา เมื่อวันที่ 6 มี.ค. 63 วันเดียวกับ “แมทธิว ดีน” ดาราชื่อดัง พร้อมด้วย “สกล หลักสิม” เซียนมวยชื่อดังไปร่วมงาน และมีอาการป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในเวลาต่อมา
ว่ากันว่า สนามมวยลุมพินีวันนั้น มีคนในงานกว่า 10,000 คน
นอกจากนั้น “ท่านเจ้ากรม” ยังได้พบปะกำลังพล ทั้งในและนอกกองทัพบกอีกกว่า 100 คน เป็นเหตุให้ วานนี้ (15 มี.ค.) กรมวิทยาศาสตร์ทหารบก ต้องเร่งเข้าไปฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อ ในพื้นที่กองบัญชาการกองทัพบกอย่างขนานใหญ่ ตามจุดต่างๆ ทั้งห้องประชุม 241 ห้องจัดเลี้ยง 221 ห้องประชุม ศปก.อ.1 ชั้น 5 และจุดเติมน้ำรถน้ำ หน้า ทรพ.กองร้อย
เรื่องนี้ชาวเน็ต อดเอาไปเทียบกับ “มนุษย์ลุงมหาภัย” ที่กลับจากญี่ปุ่นไม่ยอมให้คัดกรอง ไม่ยอมกักตัว จนไปติดหลาน สังคมผวากันไปหมด ที่ต่อมาทราบว่าเป็นผู้มียศฐาบรรดาศักดิ์ “นายทหารผู้ใหญ่กองทัพฟ้า” ที่ของแบบนี้ไม่มีใครกล้าว่ากล่าว ผู้ใต้บังคับบัญชาเกรงกลัวกัน
แว่วว่า “บิ๊กแดง” พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. หลังทราบข่าว “หัวร้อน” อย่างมาก ต้องเรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นการด่วน
เรียกว่า ความไม่รับผิดชอบต่อสังคม ไม่รู้สึกรู้สา ว่า การแพร่ระบาดช่วงนี้กำลังเป็นที่หวาดหวั่นว่าจะเข้าสู่ระยะ 3 เป็น “ซูเปอร์ สเปรดเดอร์” ส่งผลกระทบไล่เรียงกันเป็นลูกระนาดเลยทีเดียว
แม้ว่า ต่อมา พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ออกมาตั้งโต๊ะแถลง ว่า ท่านเจ้ากรมที่เป็นข่าว คือ “พล.ต.ราชิต อรุณรังษี” เจ้ากรมสวัสดิการทหารบก ยังอยู่ระหว่างรอผลตรวจว่า ติดเชื้อ‘โควิด-19’หรือไม่ ยังไม่คอนเฟิร์มว่าติดเชื้อแต่อย่างใด รวมทั้งข่าวที่ว่า“ท่านเจ้ากรม”เดินทางไปประเทศ
ฝรั่งเศสมา ก่อนที่จะเข้าไปชมมวยในเวทีลุมพินี ก็ตรวจสอบแล้วไม่มีข้อมูลว่า “พล.ต.ราชิต” เคยไปฝรั่งเศส แต่อย่างใด
“ส่วนใครติดจากใคร ต้องรอดูจากกระบวนการสอบสวนของกระทรวงสาธารณสุข หากได้ข้อมูลอย่างเป็นทางการ จะแจ้งให้ทราบต่อไป” พ.อ.วินธัย ชี้แจง
แต่เครื่องหมายคำถามอันโตๆ ก็ยังค้างคาใจอยู่ ในเมื่อเชื้อโควิด-19 ถูกประกาศเป็นโรคติดต่ออันตรายมาระยะหนึ่งแล้ว ประชาชนทั้งประเทศรับรู้โดยทั่วกันแล้ว ... กระทรวงสาธารณสุขมีคำเตือนแล้ว ให้หลีกเลี่ยงการรวมกลุ่มกันของคนจำนวนเยอะๆ ที่จะทำให้เชื้อแพร่ระบาดได้ง่าย จนการแข่งขันกีฬาหลายประเภท ต้องยุติเอาไว้ก่อน ทั้งฟุตบอลลีกในประเทศทุกระดับ การแข่งขันโมโตจีพี หรือ กอล์ฟแอลพีจีเอ ที่มีโปรแกรมจัดแข่งขันในไทย ต่างยกเลิกกันหมด ส่วนการแข่งขันชกมวย เวทีใหญ่หลายเวทีต่างพากันยกเลิก หรือการชกมวยถ่ายสดทางทีวี ก็จัดชกแบบไม่ให้มีคนเข้าไปชมหน้าเวที แต่ทำไมที่เวทีลุมพินี ซึ่งเป็นเวทีของทหาร จึงยังจัดรายการมวยเก็บค่าบัตรให้คนเข้าไปดูตามปกติ
ถ้าจำไม่ผิด ช่วงไม่กี่วันหลังเหตุ “จ่าทหาร” กราดยิงฆ่าหมู่ 29 ศพ ที่โคราช อันมีต้นเหตุจากปัญหาในโครงการบ้านสวัสดิการทหาร “บิ๊กแดง”ผบ.ทบ.ได้ออกมาประกาศว่า จะล้างบางการทำธุรกิจในหน่วยทหารที่เป็นปัญหาหมักหมมมานาน ทั้งสนามม้า มวย กอล์ฟ จะถูกจัดระเบียบใหม่หมด ไม่ให้ใครใช้ความเป็นทหาร ไปทำมาหากินหรือเอาประโยชน์เข้าตัวเองอีกต่อไป ก็ไม่แน่ใจว่า เวลาผ่านไป 1 เดือนกว่าๆ แล้ว การจัดระเบียบผลประโยชน์ในกองทัพ ตามคำประกาศของ ผบ.ทบ. คืบหน้าไปถึงไหน ทำไมเวทีมวยลุมพินี จึงยังทำมาหากินบนความเสี่ยงของประชาชน ท่ามกลางการระบาดของเชื้ออันตราย โควิด-19 ที่เริ่มระบาดมาตั้งแต่เดือนมกราคม... ที่อื่นๆ เขาก็ปิดไปนานแล้ว แต่ลุมพินี เพิ่งประกาศปิดเวที เมื่อวันที่ 14 มี.ค.ที่ผ่านมานี้เอง จากที่มีข่าว “แมทธิว ดีน” และ เซียนมวยติดเชื้อกันหลายคน
งานนี้ ผลประโยชน์สนามมวย และความไม่รับผิดชอบต่อสังคม กองทัพบก ต้องตกเป็นเป้าอีกครั้ง “บิ๊กแดง” จะว่ายังไง โปรดติดตาม.
**แค่ เด้ง “อธิบดีกรมการค้าภายใน” ไม่พอ หาก “ลุงตู่” จะกู้ศรัทธางานนี้ต้องตั้งคณะกรรมการสอบสวนให้ถึงที่สุด
ในที่สุด “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ก็เซ็นคำสั่งย้าย “วิชัย โภชนกิจ” อธิบดีกรมการค้าภายใน ให้ไปอยู่ใกล้ตัว ปฏิบัติราชการ ที่สำนักนายกฯ แล้วสั่งให้พาณิชย์หาคนใหม่มารักษาการแทน
ในคำสั่งระบุเหตุผลจาก “กรณีมีประเด็นทางสังคมเกี่ยวกับการกักตุน และจำหน่ายหน้ากากอนามัย ซึ่งสมควรมีการตรวจสอบเพื่อให้เกิดความชัดเจน ถูกต้อง โปร่งใส และเป็นธรรม ตลอดจนเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่การบริหารราชการของกรมการค้าภายใน”
ต้องบอกว่า การบริหารจัดการปัญหา “หน้ากากอนามัย” ที่ล้มเหลวของกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ คือ สิ่งที่ประชาชนอึดอัด คับข้องใจอย่างที่สุด ... เกือบๆ 2 เดือนที่ผ่านมา การเผชิญหน้าในยามยากลำบากเพื่อรับมือกับความหวั่นวิตก กังวลกับการแพร่ระบาดของไวรัส “โควิด-19” หน้ากากอนามัยกลับกลายเป็นของหายาก ราคาแพง ทั้งการกักตุน โก่งราคา มิหนำซ้ำ ขณะที่ในบ้านขาดแคลน แต่ในจีนและชอปปิ้งออนไลน์ กลับมีสินค้าไทยวางขายเกลื่อนกลาด
ภายใต้การกำกับดูแลของ “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกฯ และรมว.พาณิชย์ กรมการค้าภายใน ได้แสดงว่า “เอาไม่อยู่” และ ไม่สามารถสร้างความมั่นใจให้กับสังคมได้ว่า ปัญหาจะทุเลาลงเมื่อใด
ฟางเส้นสุดท้าย ที่ทำให้สังคมไม่ไว้วางใจ รับไม่ได้กับการทำงานของ"จุรินทร์" และ "อธิบดีกรมการค้าภายใน"ก็เห็นจะเป็น ปม “สต๊อก” และ “ส่งออก” หน้ากากอนามัย ที่ก่อนประกาศเป็นสินค้าควบคุมบอกว่ามีอยู่กว่า 200 ล้านชิ้น เพียงพอต่อการใช้ของคนในชาติแน่นอน แต่หลังประกาศคล้อยหลังไม่กี่วัน สต๊อกของกลับเหลือแค่ประมาณ 5 แสนชิ้น
นั่นทำให้เกิดคำถามตามมา ว่า “หน้ากากอนามัยหายไปไหน” ใครกักตุน ใครฉวยโอกาสรีบเร่ง “ส่งออก” ทำกำไร ?
โบ้ยกันไปโบ้ยกันมา... ขณะที่ตัวเลขก็ทางการก็คลุมเครือ หาความจริงไม่ได้ จนปะทุศึกจาก “ปม” ส่งออก ไปสู่การฟ้องร้องระหว่าง “วิชัย” กับ โฆษกกรมศุลกากร แล้วก็ตามคาด เมื่อมีเอกสารส่งออก “หน้ากากอนามัย” โดยอธิบดีฯ ลงนามกว่าล้านชิ้น ปูดออกมาให้ชาวโซเชียลฯ วิพากษ์วิจารณ์กัน แม้ว่าจะชี้แจงในเวลาต่อมาว่า เป็นหน้ากากอนามัยสเปกที่ไทยไม่ได้ใช้
เรียกกันตามภาษาชาวบ้าน นี่คือ การกระทำผิดนั้น “สำเร็จไปแล้ว” หรือไม่ ?
สังคมพากันตั้งข้อสงสัยเต็มไปหมด หน้ากากอนามัยจู่ๆ จะหายไปไหนอย่างรวดเร็วขนาดนั้นได้ยังไง ถ้าพ่อค้านายทุนเจ้าเล่ห์ไม่ได้รับความร่วมมือจากข้าราชการ โดยนักการเมือง และคนใกล้ชิดหนุนหลังได้ผลประโยชน์ร่วมกัน ที่ตอนนี้ก็ปรากฏเป็นกระแสว่า มีตัวละครเป็น “ที่ปรึกษาหญิงของรัฐมนตรีบางคน” เป็นตัวการสำคัญ ทำกันเป็นขบวนการ ?
“ลุงตู่” ในฐานะมานั่งกำกับการแก้ปัญหา โควิด-19 ใกล้ชิดลงดาบ “เด้งอธิบดีฯ” ไปแล้วก็ถือว่าเป็น แค่ก้าวแรก แถมว่ากันตามจริง รัฐบาลปล่อยให้สถานการณ์มาถึงจุดเกือบๆ จะเข้าทำนอง “กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้”
ไหนๆ ก็ไหนๆ เมื่อ “ลุงตู่” ตัดสินใจที่สะท้อนให้เห็นถึง ความเด็ดขาด ความเป็นผู้นำที่เปิดกว้างฟังสังคม คืดจะกู้ศรัทธาให้ประชาชนกลับมาก็ต้องว่ากันให้ถึงที่สุด
สอบกันให้ลึกไปเลย ผิดก็ว่ากันไปตามเนื้อผ้า ไม่ต้องไว้หน้าใคร จากนี้ไปการทำความจริงให้กระจ่าง เป็นเรื่องสำคัญที่สุด!! ... กระบวนการตรวจสอบต้องศักดิ์สิทธิ์ เพราะหาไม่แล้ว การเด้งอธิบดีกรมการค้าภายใน ก็อาจจะเป็นแค่การ “ลดกระแส” เท่านั้น !!
ต้องไม่ลืมว่า “วิกฤตศรัทธา” ต่อการแก้ปัญหาวิกฤตโควิด-19 ของรัฐบาล ของจุรินทร์ รมว.พาณิชย์ นั้นยังคงอยู่ จะปฏิเสธไหมล่ะว่า จากหน้ากากอนามัย สิ่งที่เริ่มๆเป็นกระแสขึ้นมาแล้วเวลานี้ คือ เริ่มมีคนกักตุนสินค้าอุปโภค-บริโภค ประเดี๋ยวก็จะตามมาด้วยสินค้าบางชนิดขาดตลาด หรือ มีราคาแพงลิบลิ่ว ซ้ำรอยหน้ากากอนามัย
ห้ามกันไม่ได้จริงๆ คนลองตื่นตระหนก กักตุนสินค้า กักตุนอาหาร ข้าวของเครื่องใช้ เป็นผลมาจากไม่มีความเชื่อมั่น ไม่มั่นใจ ต่อการทำงานของรัฐบาล ไม่เชื่อว่ากระทรวงพาณิชย์ จะทำให้ชีวิตของพวกเราจับจ่ายใช้สอยได้อย่างปกติ มีสิ่งจำเป็นใช้พอเพียงกับชีวิตประจำวันนั่นเอง
...และ ก็ต้องพูดอีกที ไม่ใช่แค่ปลดอธิบดีกรมการค้าภายใน “วิชัย โภชนกิจ” แค่นั้น ต้องตั้งคณะกรรมการสอบสวน เอาความจริงมาให้สังคมรับรู้
สาวลึก เอาให้สุดๆ ไปเลยครับท่าน