xs
xsm
sm
md
lg

วิกฤตศรัทธาแก้ปัญหาโควิด-19 อยู่ไม่ไหว ต้านไม่อยู่ มัวชักเข้าชักออกไม่ได้ ถึงเวลา “ลุงตู่” ต้องเด็ดขาดทุกเรื่อง ภาวะผู้นำต้องเต็มที่ ! **ดูท่าหนังเรื่องนี้คงจะยาว ดรามากักตุนหน้ากาก เบื้องหน้าเบื้องหลัง ต้องติดตามกันให้ดี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ข่าวปนคน คนปนข่าว



**วิกฤตศรัทธาแก้ปัญหาโควิด-19 อยู่ไม่ไหว ต้านไม่อยู่ มัวชักเข้าชักออกไม่ได้ ถึงเวลา “ลุงตู่” ต้องเด็ดขาดทุกเรื่อง ภาวะผู้นำต้องเต็มที่ !

พลันที่มีกระแสว่ารัฐบาลจะออกมาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากวิกฤตไวรัสโควิด-19 เป็น “แพกเกจ” โดยหนึ่งในนั้น เป็นมาตรการแจกเงินให้ 2,000 บาท ระยะสั้น 2 เดือน ก็ไปเติมเชื้อไฟ “ต่อมขยี้” ของสังคมโซเชียลฯ ดรามาการเมืองก็เลยบังเกิด ผลคือรัฐบาลถูกด่าเละ เอะอะอะไรก็แจกเงินๆ

มาวันนี้ฟังว่า “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ถอยกรูด ไม่เอาเรื่อง “แจกเงิน” เข้าครม.แล้ว โดยบอกว่า เดี๋ยวค่อยว่ากัน

คล้ายๆ วันก่อนหลุดออกมาว่า จะแจกคนละ 2,000 บาท เป็นเวลาสั้นๆ 2 เดือน หรือเดือนละ 1,000 บาท กลุ่มเป้าหมายก็มีเบ็ดเสร็จ เป็นผู้มีรายได้น้อย เกษตรกรผู้ใช้แรงงานที่กระทบจากห่วงโซ่ธุรกิจ พลอยมีความหวัง แต่พอถอยแบบนี้ก็เท่ากับนายกฯ และรัฐบาล ชักเข้าชักออก โลเลไม่แน่นอน

งานนี้มันมีแง่คิด ตอนนี้ทุกอย่างวิกฤต นั่นคือ คำตอบว่า ทำไมรัฐบาลต้องมีมาตรการมาเยียวยาเศรษฐกิจ ... ด้วยเหตุและผล การบริหารจัดการวิกฤตในหลายๆ ประเทศ ก็หามาตรการมาดูแลกัน ไม่ใช่ประเทศไทยทำลำพัง และไม่ใช่ว่า จะมาดรามากัน การแจกเงินในภาวะวิกฤตอุปมาก็เหมือนให้อาหารประทังชีวิตคนที่ได้รับผลกระทบ

เงิน 1,000 บาท หรือ 2,000 บาท ในยามนี้สำหรับกลุ่มเป้าหมายมันมีความหมายสำคัญกับชีวิตพวกเขาแค่ไหน จริงไม่จริงลองไปเดินสำรวจตามตรอกซอกซอย แหล่งทำมาค้าขาย การใช้ชีวิตของคนลำบากจริงๆ

มาตรการอื่นๆ ก็ว่ากันไปตาม “แพกเกจ” หลักการมันอยู่ที่ ถ้าดูแลกันอย่างทั่วถึงเท่าเทียม สังคมได้รับประโยชน์ถ้วนทั่วก็จบ

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
งานนี้ “ลุงตู่” ต้องกล้าที่ตัดสินใจให้เด็ดขาดในทุกๆ เรื่อง ต้องดึงภาวะผู้นำชนิดเต็มสิบ เต็มที่ ออกมาใช้หากยังต้องการเห็นมาตรการดูแลและเยียวยาได้ผลจริงๆ

อย่าลืมนะว่า จากปัญหา “หน้ากากอนามัย” ที่กำลังเผาทำลายลุกลามไปทั่วทุกหัวระแหง จะพัฒนาไปสู่ “วิกฤตศรัทธา” ความเชื่อมั่นทุกๆ อย่างของภาพรวมการแก้ปัญหาวิกฤตไวรัสโควิด-19 ของรัฐบาลจะพังพาบเอา... ทำเป็นเล่นไป

ต้องบอกว่า ด้วยสถานะของ “ลุงตู่” โอนไปเอนมาตามกระแสดรามาในโซเชียลฯ ชักเข้าชักออกแบบรายวัน ไม่ใช่เรื่องดีนัก

เรื่องนี้ว่ากันตามสถานการณ์ วิกฤตก็ต้องบอกว่าวิกฤต จะเยียวยาและการดูแลผู้ได้รับผลกระทบมีความจำเป็น เพราะไม่ใช่สถานการณ์ปกติ ที่รัฐบาลจะแจกเงิน ก็ต้องเด็ดขาด

ถ้าสถานการณ์ปกติแล้วมาแจกเงิน อันนี้ก็สมควรโดนด่า แจกไปทำไมเปล่าๆ ปลี้ๆ ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ

วันนี้สะท้อนออกมาด้วยความหวังดี อยากจะเห็นวิกฤตคลี่คลาย ประชาชนได้รับการเยียวยาและดูแล ขอแค่ “ลุงตู่” ต้องเด็ดขาด และ แสดงภาวะผู้นำให้ชัด ... ศรัทธาก็จะกลับมาเอง


**ดูท่าหนังเรื่องนี้คงจะยาว ดรามากักตุนหน้ากาก เบื้องหน้าเบื้องหลัง ต้องติดตามกันให้ดี


กรณีเพจสายดาร์ก “แหม่มโพธิ์ดำ” โพสต์ถึงขบวนการกักตุนหน้ากากอนามัย โดยพบว่ามีการสมคบกันระหว่างคณะทำงานรัฐมนตรีรายหนึ่งในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่มีข่าวอื้อฉาว กับผู้จัดตลาดนัดแห่งหนึ่ง ที่เป็นถึง กก.ตร. สถานีตำรวจแห่งหนึ่ง ใน จ.ชลบุรี เกี่ยวข้องกับขบวนการดังกล่าว ซึ่งพบว่า เมื่อวันที่ 2 มี.ค. มีการประกาศขายหน้ากากอนามัยหนา 3 ชั้น อ้างว่า มีสินค้า 5 ล้านชิ้น ขายในราคา 14 บาทต่อชิ้น โดยต้องซื้อขั้นต่ำ 1 ล้านชิ้น ผู้ที่จะซื้อต้องแสดงหลักฐานการเงิน หรือพานายทุนจีนมาซื้อเท่านั้น... เรื่องดังกล่าวทำเอาชาวเน็ตต่างประณามถึงพฤติกรรมกักตุนหน้ากากอนามัย ทั้งที่ขาดแคลนกันทั้งประเทศ

ต่อมา “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” รมช.เกษตรและสหกรณ์ ได้แถลงข่าวที่รัฐสภา ชี้แจงกรณีมีคนสนิท กักตุนหน้ากากอนามัย จำนวน 200 ล้านชิ้น ว่า กรณี นายศรสุวีร์ ภู่รวีรัศวัชรี หรือ “บอย” ไปลงเฟซบุ๊กว่า ขายหน้ากากอนามัยนั้น ยืนยันว่า ตนไม่ได้รู้จักกับบุคคลผู้นี้ และไม่เคยไปเกี่ยวข้องกับธุรกิจของเขา และได้ให้ “นายพิตตินันท์ รักเอียด” อดีตผู้สมัคร ส.ส.สุราษฎร์ธานี เขต 6 ของพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งเป็นคณะทำงานและผู้ติดตามตนเองไปร้องทุกข์กล่าวโทษกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ ว่า ตัวเองไม่ได้เกี่ยวข้องกับวงจรนี้ และเพื่อเอาผิดกับนายศรสุวีร์

ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า
“ร.อ.ธรรมนัส” ตั้งข้อสังเกตว่า ในเฟซบุ๊กของนายศรสุวีร์ มีการโพสต์ข้อความด่ารัฐบาลมาตลอด จึงไม่เข้าใจว่า มีวัตถุประสงค์อะไร ที่เอามาโพสต์แบบนั้น ยังไม่อยากคิดไปไกล แต่จะต้องมีการตรวจสอบว่า บุคคลนี้มีเบื้องหลังที่แท้จริงอะไร หรือเปล่า จึงไปโพสต์อย่างนั้น...

“ผมเข้ามาทำงานเพื่อบ้านเมือง ถ้าวันหนึ่งประชาชนไม่เอาเราแล้ว เราไม่มีประโยชน์ต่อบ้านเมืองแล้ว ไม่ต้องปรับ ครม. ผมยินดีจะไปทันที ผมไม่ได้มีอาชีพเป็นนักการเมือง” ร.อ.ธรรมนัส กล่าวทิ้งท้าย ในเชิงตัดพ้อ หลังถูกสังคมโซเชียลฯ โหมกระหน่ำ

ขณะที่เพจดัง “ห่วยตูน” ก็ได้โพสต์เกี่ยวกับดรามาหน้ากากอนามัยว่า ...ตอนนี้มีเฟกนิวส์ที่เอาไปปะปนอยู่ คือ รูปกล่องหน้ากากอนามัยนี้ ว่า ถูกส่งไปขาย จริงๆ แล้วเป็นการบริจาคของสมาคมนักธุรกิจไทย-จีน ที่ส่งไปช่วยจีน ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ...ส่วนหน้ากากอนามัยไม่น่ามีกักตุนถึงหลักล้าน แต่พฤติกรรมเป็นพ่อค้าคนกลาง หาคนขาย คนซื้อ กินส่วนต่าง โดยใช้เครดิต ความสัมพันธ์นักการเมือง และเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานต่างๆ ...

และยังได้เสนอเรื่องราวที่สื่อได้ไปขุดคุ้ย ถึงตัวตนของ นายศรสุวีร์ ภู่รวีรัศวัชรี หรือ “บอย” ว่า เป็นคนทำตลาดนัด เป็นคนขี้โม้ โอ้อวด ชอบตีสนิทคนที่มีชื่อเสียง ถ่ายรูปแล้วมาโพสต์เฟซฯ ... ยังมีภาพที่ “บอย” โพสต์เฟซบุ๊กว่า ได้ไปร่วมอวยพรปีใหม่ “คุณแม่สุมิตรา หักพาล” และ “คุณหนุ่ม” น้องชาย “พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล” อดีตผู้บัญชาการตำรวจตรวจคนเข้าเมือง เมื่อวันที่ 5 ม.ค. ที่ผ่านมา ...


รวมทั้งเรื่องที่ “บอย” ได้เข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่สำนักงานตำรวจภูธรภาค 2 บอกเรื่องที่โพสต์ไปนั้น เพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ไม่มีหน้ากากตุนไว้จริง ส่วนที่ถ่ายคลิปกับคลังหน้ากากอนามัยนั้น คลังของใครไม่รู้ แค่อยากโชว์ออฟว่าหาหน้ากากเจอ เพราะหน้ากากมันหายาก ต้องขอโทษพี่น้องประชาชนด้วย...

งานนี้ดรามาจะไม่เกิดขึ้นเลย ถ้า “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” รมว.พาณิชย์ จัดการปัญหาเรื่องหน้ากากอนามัย ให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดตั้งแต่ต้น ดูท่าดรามาเรื่องนี้จะเป็นหนังม้วนยาว ที่น่าสนใจยิ่ง ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังเป็นอย่างไร ...แค่คิดว่ากักตุนหน้ากาก 200 ล้านชิ้น มันเป็นไปได้หรือ มิต้องหาที่เก็บเท่ากับสนามฟุตบอลราชมังคลาฯ มันใช่หรือ ?... ขอให้ติดตามกันดูให้ดีๆ





กำลังโหลดความคิดเห็น