“วิษณุ” เผย นายกรัฐมนตรีให้เรียกรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทุกกระทรวง รวมถึงแพทย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเข้าร่วมประชุมสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งขณะนี้ไทยอยู่ระยะที่ 2 แต่โรงพยาบาลและแพทย์ทุกอย่างต้องเตรียมพร้อม
วันนี้ (16 มี.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความคืบหน้าการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เรียก รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทุกกระทรวง รวมถึงแพทย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเข้าร่วมประชุม โดยใช้เวลากว่า 5 ชั่วโมง ว่า แม้สถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จะมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น แต่จากการประชุมได้มีข้อสรุปเห็นพ้องต้องกันว่า ประเทศไทยยังอยู่ในระดับที่ 2 ซึ่งการตัดสินใจนี้ไม่ได้อ้างอิงจากต่างประเทศ แต่อ้างอิงจากภายในประเทศไทยเองที่ยังสามารถควบคุมและหาที่มีต้นตอของการแพร่เชื้อได้
“เรายังไม่ประกาศให้ประเทศไทยอยู่ในภาวะโควิดระดับที่ 3 แต่จะมีการรับมือ การเข้มงวดกวดขันให้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในประเทศกลุ่มเสี่ยง และยังไม่ประกาศประเทศอื่นเพิ่มเติม โดยจะมีการดูสถานการณ์รายวัน” นายวิษณุ กล่าว
ทั้งนี้ เพื่อความไม่ประมาทได้มีการเตรียมการรับมือหากเข้าสู่ระยะที่ 3 ถึงแม้ว่าจะไม่ทราบว่าจะมาถึงเมื่อใด แต่ต้องมีความพร้อมในการรับมือไว้ โดย พล.อ.ประยุทธ์ ได้สั่งให้มีการเตรียมโรงพยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ มีการเตรียมแพทย์อาชีพ ทั้งภาครัฐ เอกชน หรือแม้แต่แพทย์ที่เกษียณอายุไปแล้วที่มีความรู้ความสามารถ หากถึงจุดที่จำเป็นต้องขอความร่วมมือจากบุคคลากรดังกล่าว พร้อมได้อนุมัติเงินในการดำเนินการให้กับบุคลากรทางการแพทย์เพิ่มเติมด้วย
ส่วนเรื่องตัวยารักษานั้น ได้มอบให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการเตรียมความพร้อมแล้ว หากอยู่ในอาการใดจะต้องใช้ตัวยาประเภทใด รวมถึงเวชภัณฑ์ อาทิ เจลล้างมือ หน้ากากอนามัย ขณะนี้ได้เร่งการผลิต สามารถผลิตได้ถึงวันละ 2 ล้านชิ้น
ขณะด้านการต่างประเทศนั้น กระทรวงการต่างประเทศ แจ้งว่า มีหลายประเทศได้มีการประสานจะช่วยเหลือด้านอุปกรณ์ทางการแพทย์ และเวชภัณฑ์ต่างๆ ซึ่งทางนายกรัฐมนตรีรู้สึกขอบคุณ แต่ได้เน้นย้ำว่า เราจะรอการช่วยเหลืออย่างเดียวไม่ได้ ต้องมีการพึ่งขาของตนเอง โดยเฉพาะชุดทางการแพทย์จะต้องมีการผลิตให้เพียงพอ
นอกจากนี้ นายวิษณุ ยังมีความเป็นห่วงคนไทยที่ยังอยู่ต่างประเทศ อาทิ นักศึกษา พระภิกษุ ประมาณ 5,000 คน และแรงงานกว่า 1 แสนคน จึงได้สั่งให้มีการจัดตั้ง “ทีมไทยแลนด์” ขึ้น เพื่อคอยรายงานสถานการณ์ในแต่ละพื้นที่กลับมายังประเทศไทย
ส่วนวันหยุดสงกรานต์ที่มีการเลื่อนนั้น กำหนดให้ยกเลิกวันหยุดในวันจันทร์ที่ 13-15 เมษยายน ทั้งภาครัฐและเอกชน โดยจะมีการประกาศวันหยุดอีกครั้งในโอกาศอื่นที่สามารถหยุดยาวได้ เพื่อป้องกันการเดินทางพร้อมกันของประชาชนไม่ให้มีการแพร่ระบาดของเชื้อโรคที่จะผ่านไปสู่ในแต่ละจังหวัด
ทั้งนี้ ได้มีการระงับการเปิดของสถานบันเทิง เพราะที่ผ่านมาพบว่ามีการแพร่ระเบิดในพื้นที่ของการชุมนุมเป็นจำนวนมาก ที่มีการสัมผัส ถึงเนื้อถึงตัว เพราะมีความเสี่ยงเป็นอย่างยิ่งในการแพร่เชื้อโรค ที่ประชุมจึงเห็นว่าจำเป็นต้องมีการควบคุม “สถานที่ใดมีการขุมนุมจำนวนมากเป็นกิจวัตรและมีโอกาสเสี่ยงสูง มีการจัดกิจกรรม พูดจาปราศรัยและยากที่จะให้นั่งห่างกัน สถานที่ใดมีลักษณะนี้ มีทางเลือกทางเลี่ยงในการชุมนุมได้ ให้มีการเสนอรัฐมนตรีในวันพรุ่งนี้ (17 มี.ค.) เพื่อให้หยุดไว้ก่อน อาทิ มหาวิทยาลัยของรัฐและเอกชน โดยให้มีการสอนทางออนไลน์แทน รวมถึงโรเรียนทั้งรัฐ เอกชน และนานาชาติ ให้เร่งการปิดเทอมให้เร็วขึ้น ขณะสถานกวดวิชาให้คืนเงินหรือเลื่อนวันในการติวไว้ก่อน
ส่วนสถานที่ที่มีผู้คนมีชุมนุมคราวละมากๆ ในคราวเดียวกัน มีการร้องตะโกน เสียงเชียร์ มีโอกาสสัมผัสความเสี่ยง จะมีการเสนอให้หยุดเป็นการชั่วคราว อาทิ สนามมวย สนามกีฬา