ทวีปยุโรปและสหรัฐอเมริกาได้เป็นสมรภูมิหลักระหว่างเชื้อโรคไวรัสโควิด-19 และความสามารถด้านการแพทย์ของโลกตะวันตก ซึ่งถูกทำให้เชื่อว่ามีวิทยาการด้านการแพทย์ การผลิตเวชภัณฑ์ก้าวล้ำนำสมัย สามารถรับวิกฤตเมื่อมีโรคระบาด
และบางส่วนของสังคมตะวันตกมองว่าคนในทวีปอื่นๆ ขาดขีดความสามารถในการค้นคว้า วิจัยพัฒนา การจัดการ สร้างปัญหาและภาระให้ประชาคมโลก
เห็นได้ชัดแล้วว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้น การระบาดของไวรัสโควิด-19 อย่างรวดเร็ว มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก และในอัตราที่เร็วดังที่เกิดขึ้นในอิตาลีและสเปนนั้น ขัดแย้งกับความเชื่อดั้งเดิม การจัดการขึ้นอยู่กับความฉับไวในการตั้งรับอย่างเป็นระบบ
นอกจากอิตาลีที่ติดเชื้อมากกว่า 2 หมื่นราย ตายเป็นเบือแต่ละวัน จัดการกับผู้เสียชีวิตแทบไม่ทัน แล้วยังไม่มีท่าทีว่าจะเอาอยู่ ต้องปิดประเทศ ปิดร้านต่างๆ เพื่อสกัดการระบาด จำเป็นต้องงดรักษาผู้ป่วยหนักที่ชรา มุ่งเน้นพวกที่ยังมีโอกาสรอด
อิตาลีถือว่าอยู่ในอาการสาหัส รองลงมาคือสเปนซึ่งผู้ป่วยแต่ละวันมีจำนวนมากถึงกว่า 7 พันราย ตามมาด้วยเยอรมนี และฝรั่งเศส ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจยุโรป สวิตเซอร์แลนด์และเพื่อนบ้านก็อยู่ในสภาวะที่แทบตั้งตัวไม่ติด
เมื่อจำนวนผู้ป่วยและผู้ติดเชื้อยังเพิ่มในอัตรารวดเร็ว ยังไม่มีประเทศใดในยุโรปสามารถสกัดกั้นการระบาดได้ และกำลังลามไปยุโรปตะวันออก
ทั่วโลกแทบไม่เหลือ แม้แต่ประเทศที่เป็นเกาะห่างไกลก็หนีไม่พ้น
ที่สร้างความกังวลในปัญหาโดยรวมก็คือสภาวะขาดแคลนอุปกรณ์และเตียงสำหรับผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้น ขณะที่การคิดค้นวัคซีนเพื่อป้องกันและรักษานั้น ยังไม่ประสบความสำเร็จ ไวรัสโควิด-19 เป็นความท้าทายขีดความสามารถของมนุษยชาติสุดกำลัง
รัฐสภายุโรปได้จัดตั้งกองทุนฉุกเฉินจำนวน 2.6 หมื่นล้านยูโรเพื่อต่อสู้กับการระบาด และประกาศว่ายุโรปจะต้องร่วมมือเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเพื่อความอยู่รอด แต่หลายประเทศต่างก็ปิดพรมแดน มีข้ามแดนด้านขนส่งสินค้า เพื่อสกัดการระบาด
ในสภาวะเช่นนี้แต่ละประเทศก็ต้องเห็นถึงความอยู่รอดปลอดภัยของตัวเอง แม้แต่สหรัฐอเมริกาก็สั่งห้ามคนยุโรปเข้าประเทศ ทำให้คนยุโรปรู้สึกเป็นเดือดเป็นแค้นเพราะไม่ได้รับการแจ้งล่วงหน้า ได้เห็นความใจคับแคบของผู้นำสหรัฐฯ
ในช่วงแรกผู้นำทำเนียบขาว โดนัลด์ ทรัมป์ ยอมให้คนอังกฤษและไอร์แลนด์ยังคงไปมาหาสู่ได้ แต่หลังจากนั้นไม่กี่วันทั้ง 2 ประเทศก็เผชิญสภาวะเดียวกันกับยุโรป เท่ากับว่าอังกฤษและไอร์แลนด์ก็ต้องแก้ปัญหาของตัวเอง เอาให้รอด
คนทั้งโลกเพิ่งได้รับรู้กับการปิดเมือง ปิดประเทศ และแทบจะเป็นการปิดทวีปยุโรป สะท้อนให้เห็นวิกฤตร้ายแรง ซึ่งยังไม่มีใครคาดได้ว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อใด แนวโน้มที่ดีขึ้นก็คือจีน ต้นตอของการระบาด สามารถทำให้หยุดชะงักได้เด็ดขาด
มองไปที่สหรัฐอเมริกา ผู้นำจอมอหังการ โดนัลด์ ทรัมป์ ทำให้เห็นได้ชัดว่าอยู่ในสภาวะที่ธาตุไฟรวน ระบบต่างๆ ไม่ได้เตรียมพร้อมสำหรับวิกฤตและการระบาดอย่างรวดเร็ว จากเพียงไม่กี่รัฐในสัปดาห์กลายเป็นลามไปทั่ว 50 รัฐในแผ่นดินใหญ่
สหรัฐอเมริกาไม่มีความพร้อมในด้านจัดเตรียมเครื่องตรวจสอบการติดเชื้อทั้งขาดแคลนหน้ากากอนามัย เจลล้างมือ ผู้คนก็เริ่มตื่นตระหนกซื้อสินค้า เพราะไม่มั่นใจว่ารัฐบาลจะเอาอยู่หรือไม่ แม้จะตั้งงบประมาณฉุกเฉินถึง 5 หมื่นล้านดอลลาร์
โดนัลด์ ทรัมป์ยังประกาศอย่างหน้าไม่อายว่าตัวเองไม่ขอรับผิดชอบสำหรับภาวะวิกฤตและการตั้งรับไม่ทันการ และโทษอดีตประธานาธิบดี บารัค โอบามา ว่าไม่ได้เตรียมการไว้ก่อนทั้งที่ตัวเองอยู่บริหารประเทศมาเกือบจะ 4 ปีแล้ว
และพฤติกรรมเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก ทรัมป์ไม่เคยยอมรับว่าตัวเองทำอะไรผิดพลาด เมื่อการระบาดยังเป็นไปไม่หยุด ที่น่าตกใจก็คือ มีแพทย์คาดการณ์ ว่าจะมีคนอเมริกันติดเชื้อมากถึง 4.8 ล้านคนอีกไม่นาน และ 1.9 ล้านคนต้องรับการรักษา
โรงพยาบาลทั่วประเทศมีเพียง 1 ล้านเตียงเพื่อรับผู้ป่วยเท่านั้น!
ความเสียหายต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ นั้นมหาศาล ประเมินยังไม่ได้ เพราะได้รับผลกระทบทุกด้าน โดยเฉพาะบริษัทน้ำมันที่ผลิตน้ำมันดิบจากหินดาน ซึ่งจะลำบากเพราะต้นทุนสูงในสงครามตัดราคารุนแรงระหว่างซาอุดีอาระเบียกับรัสเซีย
สายการบินสหรัฐฯ ซึ่งมีเครือข่ายกว้างขวางต้องลดจำนวนเที่ยวบินระหว่างประเทศแทบทุกด้าน ทั้งเอเชีย ยุโรป ทำให้รายได้ขาดมหาศาล อาจทำให้ต้องลดจำนวนพนักงานและนักบิน โดยไม่รู้ว่าจะต้องหยุดบินนานเท่าไหร่
ลาสเวกัส ดินแดนกาสิโน ต้องได้รับผลกระทบอย่างเลี่ยงไม่ได้ เริ่มทยอยปิดตัวลงเพราะขาดลูกค้าและจำเป็นต้องลดความเสี่ยง ต้องสูญเสียเงินรายได้หมุนเวียนหลายพันล้านดอลลาร์ในแต่ละวัน รวมทั้งรายได้จากสถานบันเทิงอื่นๆ อีกด้วย
จากเมืองที่ครึกครื้น ไม่หลับใหล แสงไฟสว่างไสวทั้งคืน ต้องเงียบเหงาทันที พนักงานจะขาดรายได้ ส่งผลกระทบต่อครอบครัวและเศรษฐกิจของรัฐ
ในแคลิฟอร์เนีย มีคำสั่งปิดสถานบันเทิง สถานที่ดื่มกิน รวมทั้งร้านอาหารต้องลดจำนวนการให้บริการด้วย ธุรกิจอื่นๆ ต้องไม่รอดจากปัญหาเช่นกัน
สหรัฐอเมริกาถือว่ามีเดิมพันสูงสำหรับความอยู่รอดในฐานะที่เป็นชาติมหาอำนาจอันดับ 1 ของโลก ต้องเผชิญปัญหาขณะที่ตัดขาดจากมิตรประเทศเพื่อเอาตัวรอด ขณะที่จีนซึ่งพ้นจากภาวะวิกฤตกำลังเฝ้ามองด้วยอารมณ์เดาได้ไม่ยาก
ถ้าพญาอินทรีย์ป่วยหนัก เศรษฐกิจถดถอย คนอื่นจะพลอยซวยไปด้วย