xs
xsm
sm
md
lg

จากไวรัส-น้ำมัน...ถึงอเมริกาตายก่อน!!!

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท



ก็ยังต้องถือเป็น “โชคดี” ของอเมริกันชน ที่ได้มีผลพิสูจน์ออกมาอย่างเป็นทางการแล้วว่า ผู้นำประเทศอย่าง “ทรัมป์บ้า” ไม่ได้ติด “เชื้อไวรัส COVID-19” จากบรรดานักการเมืองบราซิลแต่อย่างใด แต่ส่วน “เชื้อบ้า” นั้น...ใครจะติดใคร??? ประธานาธิบดีบราซิลจะติดจากประธานาธิบดีอเมริกา หรือประธานาธิบดีอเมริกาจะติดเชื้อมาตั้งแต่ยุคไหน สมัยไหน รวมถึงจะแพร่เชื้อไปให้ใครเป็นลำดับถัดไป อันนั้น...คงต้องไปวินิจฉัยโรคกันเอาเองก็แล้วกัน...

แต่ถึงจะอย่างไรก็ตาม...ด้วยฤทธิ์เดชของเชื้อไวรัส COVID-19 ย่อมอาจส่งผลให้ประธานาธิบดีอเมริกาที่มี “เชื้อบ้า” เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว อาจต้อง “บ้า...กับ...บ้าวะ” หนักยิ่งขึ้นไปอีกอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ ด้วยเหตุเพราะเชื้อไวรัสตัวนี้ ไม่เพียงแต่กำลังสร้างความปั่นป่วนให้สังคมอเมริกาหนักขึ้นๆ ไม่ว่าโดยการแพร่กระจายข่าวจริง-ข่าวปลอม ตัวเลขจริง-ตัวเลขปลอม ของจำนวนผู้ติดเชื้อ ผู้ที่เด๊ดสะมอเร่ อิน เดอะ เท่งทึง ณ ขณะนี้ หรือในอนาคตเบื้องหน้า อันส่งผลให้บรรดาอเมริกันชนทั้งหลาย หนีไม่พ้นต้อง “หูแหก-ตาแหก” กันไปเป็นรายๆ อีกทั้งยังส่งผลให้ “ตลาด” หรือดัชนีหุ้นดาวโจนส์ ร่วงผลอยๆ ตกจากหอคอย่น ชนิดคราวแล้ว คราวเล่า หรือทำให้สิ่งซึ่งเคยถูกหยิบมาใช้เป็น “จุดขาย” ของผู้นำอเมริการายนี้ นั่นคือเรื่องของความมั่งคั่ง ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ จากการอาศัยนโยบาย “อเมริกา...มาก่อน” ในทุกเรื่อง ทุกกรณี อันจะทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง แต่ไปๆ-มาๆ...แนวโน้มที่มันชักหนักไปในแนว “อเมริกา...ตายก่อน” ดูจะเริ่มเห็นได้ชัดเจนยิ่งเข้าไปทุกที...

เพราะนอกจากดัชนีหุ้นดาวโจนส์จะร่วงผลอยๆ ชนิดปั่นยังไงก็ปั่นแทบไม่ขึ้น ความหวาดเกรงฤทธิ์เดชของ COVID-19 ที่ทำให้ใครต่อใครต้องหันมา “ปิดประเทศ” หรือปิดบ้าน ปิดเมือง พร้อมใจกันอุดอู้อยู่แต่ในบ้าน ไม่คิดจะไปไหน-มาไหนแบบเดิมๆ แม้แต่ประเทศอเมริกาเอง มันเลยทำให้ปริมาณความต้องการ “น้ำมัน” ของโลกทั้งโลก ย่อมต้องลดฮวบ ลดฮาบ อย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้ ยิ่งประเทศที่เคยบริโภคน้ำมันสูงสุดในโลก อย่างประเทศจีน ดันติดเชื้อ COVID-19 มาตั้งแต่แรก ความต้องการบริโภคก็ยิ่งมีแต่ลดกับลดลงไปยิ่งขึ้นเท่านั้น แถมยังตามมาด้วย “สงครามน้ำมัน” ระหว่างซาอุฯกับรัสเซีย ที่ต่างฝ่ายต่างพร้อมจะตัดราคา และพร้อมจะผลิตเพิ่ม จนส่งผลให้ราคาน้ำมันในตลาดปักหัวดิ่งลงไปถึง 30 เปอร์เซ็นต์ สิ่งเหล่านี้เลยทำให้ “อุตสาหกรรมน้ำมัน Shale Oil” ในอเมริกา ที่เคยบูมสุดขีดหลัง “ทรัมป์บ้า” เข้ามารับตำแหน่งเป็นประธานาธิบดี จึงกำลังตกอยู่ในสภาพ “อาจล้มละลายถึง 50 เปอร์เซ็นต์ภายในช่วงเวลาไม่เกิน 2 ปี” ดังที่ “CEO” บริษัท “Pioneer Natural Resources” “นายScott Sheffield” ได้ออกมาเปิดเผยไปเมื่อช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา...

หรือถ้าว่ากันตามสายตาของนักวิเคราะห์เศรษฐกิจระดับโลก อย่าง “นายNeal Dingmann” แห่งธนาคาร “SunTrust Banks” ถึงกับถือเป็น “สงครามอารมาเกดโดนด้านพลังงาน” (Energy Armageddon) เอาเลยถึงขั้นนั้น และทำให้การแก้ปัญหาความล้มละลายของอุตสาหกรรมพลังงานในสหรัฐฯ ไม่ใช่แก้กันได้ง่ายๆ แบบครั้งที่เคยแก้ปัญหาความล้มละลายของธนาคารและสถาบันการเงินในปี ค.ศ. 2008 หรือใน “วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์” ที่รัฐบาลสามารถเข้าไปค้ำประกัน อัดฉีด ปล่อยเงินกู้ จนผ่านพ้นวิกฤตกันไปในท้ายที่สุด เพราะปัญหาขณะนี้ มันไม่ได้อยู่ที่แค่ “สภาพคล่อง” หรือปัญหาอันเนื่องมาจาก “หนี้สิน” ที่บรรดาบริษัทน้ำมัน Shale Oil ทั้งหลาย ไปกู้มาจนท่วมหัว ท่วมหาง เท่านั้น แต่มันยังอยู่ที่สภาวะ “ตลาด” ซึ่งไม่ได้เอื้ออำนวยให้ระดับราคาน้ำมัน ที่เหลืออยู่เพียงแค่ 25-30 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล สามารถก่อให้เกิดการ “คุ้มทุน” ต่อผลผลิตน้ำมันแบบ Sale Oil ซึ่งมีต้นทุนการผลิตอยู่ที่ประมาณ 50-60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลได้เลย...

ส่วนจะใช้วิธีซื้อน้ำมันเหล่านี้...ไปเก็บไว้ในคลังสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์ หรือ “Strategic Oil Reserve-SPR” ของสหรัฐฯ อย่างที่ “ล็อบบี้ยิสต์” บริษัทน้ำมันพยายามเสนอต่อประธานาธิบดี หรืออย่างที่ “ทรัมป์บ้า” เคยปรารภเอาไว้ก่อนหน้านี้ ก็ดูจะลำบากอีกนั่นแหละ เพราะถ้าว่ากันตามตัวเลข ข้อมูล สถิติ ที่สำนักข่าว “รอยเตอร์” เขาไปเอามาจากไหนก็มิอาจทราบได้ ที่ระบุไว้ว่า คลังสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ มีขีดความสามารถเก็บน้ำมันเพิ่มขึ้นได้อีกเพียงประมาณ 77 ล้านบาร์เรลเท่านั้น ในขณะที่ปริมาณน้ำมัน Sale Oil แค่เฉพาะในเท็กซัส และลุยเซียนาเท่านั้น กลับมีปริมาณมากถึง 635 ล้านบาร์เรลชนิดซื้อไปแล้วแทบไม่รู้ว่าจะไปเก็บเอาไว้ที่ไหน เผลอๆ...อาจต้องเจอรายการ “น้ำมันเน่า” แบบ “ข้าวเน่า” บ้านเราเอาเลยก็ไม่แน่

อีกทั้งการควักเงินออกมาอัดๆ ฉีดๆ ปล่อยกู้ ค้ำประกัน ฯลฯ เพื่อที่จะบรรเทาเบาบาง ภาวะ “ล้มละลาย” ของอุตสาหกรรมน้ำมัน Shale Oil ในสหรัฐฯ นั้น ก็ไม่ถึงกับสะดวกสบายและลื่นไหลกันสักเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะเม็ดเงินประมาณ 50,000 ล้านดอลลาร์ ที่ประธานาธิบดีอุตส่าห์งัดเก๊ะ เพื่อเอามารับมือกับภัยพิบัติจากเชื้อไวรัส COVID-19 และสิ่งที่ก่อให้เกิดผลกระทบตามมา เพราะขณะที่บรรดาพรรคการเมืองฝ่ายค้านอย่างเดโมแครต กำลังแสดงความกระเหี้ยนกระหือรือ เรียกร้องให้เอาเม็ดเงินทั้งหมด ไปช่วยเหลือ เยียวยา บรรดาชาวอเมริกันที่แทบไม่เหลือเงิน เหลือทอง เป็นค่าตรวจเช็ก ดูแลรักษาสุขภาพของตัวเองมาโดยตลอด ให้สามารถตรวจฟรี เช็กฟรี ดูแล รักษาฟรี ได้แบบ “เผด็จการเมืองจีน” อะไรทำนองนั้น ถ้าประธานาธิบดีดันแอบเอามาปล่อยกู้ อัดฉีด หรือค้ำประกัน ให้กับบรรดาบริษัทน้ำมันกันแทนที่ เหมือนอย่างที่เคยควักเงินภาษีของราษฎรชาวอเมริกัน 99 เปอร์เซ็นต์ มาใช้หนี้ให้อภิมหาเศรษฐีประมาณ 1 เปอร์เซ็นต์ อย่างครั้ง “วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์” แล้วล่ะก็ โอกาสที่ “ทรัมป์บ้า” จะกลับมาเป็นประธานาธิบดีรอบสอง คงน่าจะยากส์ส์ส์ลำบากเอามากๆ...

ดังนั้น...แนวโน้มแห่ง “การล้มละลายภายในไม่เกิน 2 ปี” ของอุตสาหกรรมน้ำมัน Shale Oil ในสหรัฐฯ ที่อาจกลายเป็นตัวฉุดกระชากลากถูให้ภาคธุรกิจอื่นๆ พังพินาศตามไปด้วย ย่อมทำให้ผู้นำอเมริกาไม่ว่ารายใดก็เถอะ มีสิทธิ “บ้า...ก็...บ้าวะ” เอาง่ายๆ อีกทั้งจะไปกด ไปบีบ ไปโทรศัพท์สายตรงสั่งผู้นำซาอุฯ ไม่ว่าจะเป็น “กษัตริย์ซัลมาน” หรือผู้สืบทอดบัลลังก์ อย่างเจ้าชาย “MbS” ให้ “เลิกบ้า” หรือเลิกลดราคาน้ำมัน แล้วยังแถมคิดผลิตเพิ่มซะอีกต่างหาก งานนี้...ก็คงไม่ได้ “ง่าย” เหมือนเดิมอีกต่อไปเพราะขนาดเคยส่งรัฐมนตรีต่างประเทศ “นายไมค์ ปอมเปโอ” ไปเยือนราชอาณาจักรซาอุฯ โดยตรงเมื่อเดือนที่แล้ว เพื่อพูดคุยเจรจาตั้งแต่เรื่อง “การยุติศึกเยเมน” การเปิดเผยรายละเอียดคดีฆาตกรรม “นายจามาล คาช็อกกี” นักหนังสือพิมพ์ชาวซาอุฯ ที่รัฐสภาสหรัฐฯ นำมาสร้างแรงกดดันต่อประธานาธิบดีอเมริกัน ไปจนการขอให้ปล่อยตัวชาวอเมริกันเชื้อสายซาอุฯ อย่าง “Dr.Walid Fitaihi” เป็นต้น แต่สิ่งที่อาจถือเป็น “คำตอบ” ที่ผู้นำซาอุฯ แจ้งกลับมายังรัฐบาลอเมริกัน ไม่เพียงแค่การลงมือจับกุม เจ้าชายซาอุฯ 3 ราย ที่ถือเป็น “ไพ่ใบสำคัญ” ของซีไอเอให้เห็นๆ กันไปเลยเท่านั้น แต่ยังตามมาด้วย “ลูกบ้าเที่ยวล่าสุด” นั่นคือการทำ “สงครามน้ำมันกับรัสเซีย” ที่กลับเป็นตัวส่งผลให้อุตสาหกรรมน้ำมัน Shale Oil ในอเมริกา เลยต้อง “ตายก่อน” ไปเป็นอันดับแรก ดังนั้น...ภายใต้สภาพเช่นนี้ โอกาสที่อเมริกาจะกลับมา “Great Again” จึงแทบมองไม่เห็นเอาเลยแม้แต่น้อย มีแต่จะตายกันตอนไหน เมื่อไหร่ และอย่างไร??? เท่านั้นเอง...
กำลังโหลดความคิดเห็น