มาถึง ณ ขณะนี้...ก็น่าจะเป็นที่สรุปได้แบบแจ่มแจ้งชัดเจนแล้วว่า จาก “ศึกราคาน้ำมัน” หรือจากรายการ “เกทับ-บลัฟแหลก” ระหว่างประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่อย่างซาอุฯ กับรัสเซียตั้งแต่ช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้ที่ “เจ๊ง” เป็นรายแรก และถือว่า “เจ๊งหนักที่สุด” ชนิดแทบไม่มีโอกาสเงยหน้าอ้าปากขึ้นมาได้อีก ก็น่าจะหนีไม่พ้น “บริษัทน้ำมัน Shale Oil” หรือบริษัทที่นิยมขุดหาน้ำมันและแก๊สจากชั้นหินดินดานของอเมริกานั่นเอง!!!
เรียกว่า...จะเป็น “กูรู” หรือ “กูรู้” จากสำนักไหนต่อสำนักไหนก็ตาม ต่างมองเห็นภาพดังกล่าวค่อนข้างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์และรัฐศาสตร์ แห่งมหาวิทยาลัย “Saint Mary’s College” แคลิฟอร์เนีย อย่าง “Dr.Jack Rasmus” หรือประธานบริษัท “Oil Associates LLC” อย่าง “Andrew Lipow” ที่ให้ความเห็นกับสำนักข่าวต่างประเทศหลายต่อหลายสำนักว่า การที่ราคาน้ำมันในตลาดตกลงมาถึง 20-30 เปอร์เซ็นต์ เหลือเพียงแค่ประมาณ 29 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลนั้น ผู้ที่ “เจ็บหนักสุด” หรือผู้ที่ต้องอ้วกแตก-อ้วกแตน ไม่ว่าในระยะสั้น-ระยะยาว ก็คือบรรดาบริษัทน้ำมันสหรัฐฯ ที่หันมาขุดเจาะหาพลังงานด้วยกรรมวิธีที่เรียกว่า “Fracking” ทั้งหลายนั่นเอง...
และโดยความคิด ความเห็น ดังกล่าว ก็ใช่ว่าจะปราศจากหลักฐาน ข้อมูล ที่มา-ที่ไป เพราะแค่ดูจาก “ราคาหุ้น” ของบรรดาบริษัทน้ำมัน Shale Oil ประมาณ 57 บริษัท ที่อยู่ในตลาด “S&P Oil & Gas Exploration” นับตั้งแต่ช่วงวันจันทร์ที่ผ่านมา ต่างก็ “รูดมหาราช” ไปเป็นแถบๆ โดยเฉพาะบริษัทอย่าง “Oasis Petroleum” หรือ “California Resource and Occidental Petroleum” รูดลงไปถึง 40 เปอร์เซ็นต์เอาเลยถึงขั้นนั้น ส่วนบริษัท “Diamondback Energy and Parsley Energy” ถึงกับประกาศปิดหลุมขุดเจาะไม่รู้กี่หลุมต่อกี่หลุม ไปเมื่อช่วงวันจันทร์ที่ผ่านมา เนื่องจากไม่สามารถสู้กับ “ภาวะต้นทุน” การขุดเจาะที่อยู่ที่ประมาณ 50-60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ได้อีกต่อไปแล้ว...
แม้ว่าในช่วงวันอังคาร (10 มี.ค.) ที่ผ่านมา...ราคาน้ำมันจะเด้งกลับขึ้นมาประมาณ 7 เปอร์เซ็นต์ หรือกลับไปอยู่ที่ประมาณ 30 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล อันเนื่องมาจากผู้นำอเมริกาประกาศกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการลดภาษี และการปล่อยเงินกู้ให้กับบรรดาบริษัทธุรกิจรายย่อย แต่นั่นคงไม่ได้ช่วยให้บรรดาบริษัทน้ำมันรายเล็ก รายน้อย ในอเมริกา มีโอกาส “หายใจทางเหงือก” ขึ้นมามากมายสักเท่าไหร่ เพราะถ้าหากราคาน้ำมันยังต้องเป็นไปในรูปนี้ “อีกหลายเดือน” อย่างที่รัฐมนตรีพลังงานรัสเซีย “นายAlexander Novak” ได้ประมาณการเอาไว้ ระหว่างการสัมภาษณ์สถานีโทรทัศน์ “Rossiya-24” ในวันเดียวกัน โอกาสที่จะ “กู้หนี้” เพื่อเอามา “หมุนหนี้” ของบรรดาบริษัทน้ำมันอเมริกันทั้งหลาย ก็น่าจะไม่ทันกับ “ภาวะล้มละลาย” ที่ทำให้หลายต่อหลายบริษัท ตัดสินใจปิดฝา ปิดโลง ไปแล้วก่อนหน้านี้...
การตัดสินใจ “เกทับ-บลัฟแหลก” ของอภิมหาเศรษฐีน้ำมันซาอุฯ ที่ประกาศว่าจะเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันออกสู่ตลาด จากวันละ 9.7 ล้านบาร์เรล ไปเป็นวันละ 12.3 ล้านบาร์เรล จนทำให้ราคาน้ำมันซึ่งทำท่าว่าจะล้นตลาด ควงสว่านลงมาเหลือแค่ 29 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเท่านั้นเอง ไม่ว่าโดย “เหตุผลเบื้องหน้า-เบื้องหลัง” จะเป็นไปในลักษณะใดก็ตาม แต่ภายใต้สภาพการณ์ดังกล่าว จึงแทบไม่ต่างไปจาก “กระบวนการขจัดผู้ผลิตน้ำมัน Shale Oil ออกไปจากระบบตลาด ด้วยการสร้างความล้มละลายให้เกิดขึ้น” ตามคำพูด คำอธิบาย ของ “Dr. Jack Rasmus” ที่ให้สัมภาษณ์สำนักข่าว “รัสเซีย ทูเดย์” เอาไว้นั่นเอง และด้วยกระบวนการดังกล่าว คงไม่ได้จำกัดวงอยู่แค่เฉพาะ “อุตสาหกรรมน้ำมัน” ในอเมริกา ที่กำลังบูมๆ ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาเท่านั้น แต่แนวโน้มที่มันอาจลุกลามไปสู่ส่วนอื่นๆ หรือสู่ “ระบบเศรษฐกิจอเมริกา” แทบทั้งระบบ ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เอาเลย...
ดังที่นักวิเคราะห์ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจระดับโลก “นายPeter Schiff” แห่งบริษัท “Euro Pacific Capital” ได้ให้ความเห็นเอาไว้ในเวลาต่อมานั่นแหละว่า ไม่ใช่แต่เฉพาะบริษัทน้ำมัน Shale Oil ในสหรัฐฯ เท่านั้น ที่ต้องกู้หนี้ยืมสินเอามาโปะ แล้วรอเวลาที่ราคาน้ำมันจะหวนกลับเข้าสู่สภาพเดิม จนใครที่รอไม่ไหว หนีไม่พ้นต้อง “ล้มละลาย” ไปเป็นแถบๆ แต่บริษัทธุรกิจอื่นๆ ของอเมริกา ก็มีสภาพแทบไม่ต่างอะไรไปจากบริษัทน้ำมัน Sale Oil ของอเมริกานั่นแหละ รวมทั้ง “รัฐบาลอเมริกัน” เองด้วย ที่ต่างสร้างหนี้ สร้างสิน ไว้เยอะแยะมากมาย จนไม่ว่าชาตินี้ หรือชาติหน้า ก็แทบไม่มีโอกาสใช้หนี้ได้เลย อันส่งผลให้ระบบเศรษฐกิจอเมริกาแทบทั้งระบบ รวมไปถึงสถานะของเงินดอลลาร์ ตกอยู่ในสภาพ “ฟองสบู่” ระดับ “อภิมหามารดาแห่งฟองสบู่” มานานแล้ว ยิ่งเมื่อเจอการล้มละลาย ล้มระเนนระนาดของบรรดาบริษัทน้ำมันทั้งหลาย ในลักษณะแทบไม่ต่างไปจากการล้มละลายของสถาบันการเงิน เมื่อช่วงปี ค.ศ. 2008 โอกาสที่ “ฟองสบู่ในอเมริกา” จะแตกดังโพล๊ะตามมา อีกไม่นาน-ไม่ช้านับจากนี้ ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ...
หรือดังคำพูด คำอธิบาย ที่ว่าไว้ว่า... “การตกต่ำของราคาน้ำมัน เป็นเพียงแค่...ส่วนหนึ่ง...ของกระบวนการเงินเฟ้อ ที่จะทำให้เกิดภาวะฟองสบู่ และเกิดผลกระทบต่อเนื่องไปถึงสถานะของเงินดอลลาร์ โดยจะกระทบกระเทือนไปถึงระบบเศรษฐกิจทั้งมวลของอเมริกา ด้วยเหตุเพราะปัญหาที่แท้จริงของระบบเศรษฐกิจอเมริกา ก็คือ...ปัญหาหนี้ เราเป็นหนี้มาก และไม่ใช่แค่หนี้ของบริษัทน้ำมันเท่านั้น แต่ธุรกิจแทบทุกสาขา ต่างเต็มไปด้วยปัญหาหนี้ด้วยกันทั้งนั้น” ฟองสบู่ หรืออภิมหามารดาแห่งฟองสบู่ของเศรษฐกิจอเมริกา ที่กำลังจะแตกในอีกไม่นาน-ไม่ช้านับจากนี้ จึงมีแนวโน้มที่จะส่งผลหนักหนาสาหัส ซะยิ่งกว่าการแตกของฟองสบู่ของบรรดาบริษัทและสถาบันการเงิน เมื่อช่วงปี ค.ศ. 2008 หลายต่อหลายเท่า เพราะช่วงจังหวะเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว สถานะของเงินดอลลาร์อเมริกา ยังพอมีผู้เชื่อมั่น เชื่อถือ อยู่เป็นจำนวนไม่น้อย หรือยังพร้อมที่จะซื้อเอามาเก็บไว้เป็นทุนสำรอง หรือเป็นเครื่องมือในการซื้อ-ขาย-แลกเปลี่ยนใดๆ ก็ตามแต่ แต่มาถึงทุกวันนี้ สถานะของเงินดอลลาร์อเมริกา กำลังเปลี่ยนแปลงไปแบบหน้ามือเป็นหลังตีน หรือ “ทุกคนพร้อมที่จะขายดอลลาร์ออกไป” ดังที่ “นายPeter Schiff” ได้ระบุเอาไว้ การแก้ปัญหาวิกฤตฟองสบู่ในปี ค.ศ. 2008 จึงมิอาจนำมาใช้ได้กับวิกฤตอภิมหาฟองสบู่ ที่กำลังรอคอยอยู่เบื้องหน้าได้เลยแม้แต่น้อย...
ส่วนผู้ที่ได้รับชัยชนะสูงสุดจากภาวะราคาน้ำมันตกต่ำคราวนี้...จึงกลายเป็น “ทองคำ” ดังที่ “นายAlexandro Bruno” ผู้อำนวยการ “NX Tana lytic” ได้ให้ความเห็นเอาไว้ ที่ทำราคาพุ่งพรวดๆ พราดๆ ไปถึง 1,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือสูงสุดในรอบ 7 ปี โดยเผอิญว่ามหาอำนาจคู่แข่งของอเมริกา อย่างคุณพี่จีนและคุณน้ารัสเซีย ต่างได้พยายามกวาดซื้อเอาไว้เป็นตันๆ มาแล้วก่อนหน้านี้ และนั่นเองที่อาจทำให้นักวิเคราะห์เศรษฐกิจซึ่งอาจมีสไตล์ออกไปทาง “หวือๆ หวาๆ” อยู่สักหน่อย อย่าง “นายMax Keiser” แห่งโทรทัศน์ “รัสเซีย ทูเดย์” ถึงกับออกมา “ฟันธง” แบบชนิดเต็มผืน เต็มด้าม ว่า “วิกฤตราคาน้ำมัน” คราวนี้ ที่มีลักษณะไม่ต่างไปจาก “วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ภาค 2” กำลังทำให้ยุคแห่งเงินดอลลาร์ในฐานะทุนสำรอง “จบลงไปเรียบร้อยแล้ว” หรือทำให้ “อวสานแห่งPetro-Dollar” ปรากฏให้เห็นชัดเจน พร้อมกับการอุบัติขึ้นมาของ “Petro-Yuan” หรือ “Petro-Ruble” กันแทนที่ จริง-ไม่จริง...ก็ลองไปคิดกันเอาเอาก็แล้วกัน...