xs
xsm
sm
md
lg

ราคาน้ำมันและการเกทับ-บลัฟแหลก

เผยแพร่:   โดย: ทับทิม พญาไท



คงต้องเรียกว่า “อภิมหาวิกฤตหุ้น” อย่างที่คุณพี่ “สุนันท์ ศรีจันทรา” อภิมหา “กูรู” เรื่องหุ้นในบ้านเรา ท่านว่าไว้ในคอลัมน์ “ชุมชนคนหุ้น” ในเว็บไซต์ “ผู้จัดการ” เมื่อช่วงวันวานที่ผ่านมานั่นแหละ ซึ่งก็คงไม่ใช่แต่เฉพาะ “หุ้นไทย” เท่านั้น ระดับ “หุ้นดาวโจนส์” ของคุณพ่ออเมริกา ยังตกจากหอคอย่น ร่วงไปถึงประมาณ 1,900 จุด หรือเกือบ 7.9 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ “เอสแอนด์พี” ก็เอาหัวทิ่มดินตามไปด้วย ในระดับใกล้ๆ กัน หรือประมาณ 7 เปอร์เซ็นต์ เมื่อช่วงวันจันทร์ (9 มี.ค.) ที่ผ่านมา...

ซึ่งการตกจากหอคอย่น หรือการเอาหัวทิ่มดิน คราวนี้...แม้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องไวรัส “COVID-19” ที่ทำให้อเมริกันชนเริ่ม “หูแหก-ตาแหก” ขึ้นมาบ้างแล้ว ปะปนอยู่ด้วย แต่คงไม่ใช่ทั้งหมด เพราะสิ่งที่ทำให้ “ตลาด” หรือบรรดาผู้คนในตลาดหุ้น ออกอาการหูแหก-ตาแหกยิ่งไปกว่านั้น ก็น่าจะเป็นเรื่อง “ราคาน้ำมัน” นั่นแหละทั่น ที่จู่ๆ...ก็ร่วงลงมาเหลือแค่ 29.55 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล สำหรับน้ำมันเวสต์เท็กซัส และ 29.07 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล สำหรับน้ำมันเบรนท์ทะเลเหนือต่ำเตี้ยเรี่ยดินแบบสุดๆ ในรอบเกือบ 30 ปีที่ผ่านมา หรือดังที่ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ “Vital Knowledge” อันโด่งดังในหมู่ผู้สนใจเรื่องเงินๆ-ทองๆ อย่าง “นายAdam Crisafulli” เขาได้สรุปไว้ทันทีที่เห็นราคาน้ำมันในตลาด หล่นตุ๊บลงมาถึง 25-30 เปอร์เซ็นต์ ประมาณว่า “เรื่องน้ำมันนั้นเป็นปัญหาสำหรับตลาดยิ่งกว่าเรื่องไวรัสซะอีก...”

ส่วนผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” ก็ดูจะเห็นไปในแนวเดียวกัน ดังเห็นได้จากข้อความที่ได้ “ทวีต” ไว้ในช่วงวันจันทร์ที่ผ่านมาประมาณว่า...เป็นเพราะรัสเซียดันไปเถียงกับซาอุฯ ในเรื่องราคาน้ำมัน บวกกับ “เฟคนิวส์” อันน่าจะหมายถึงเรื่องไวรัส “COVID-19” ที่เริ่มทำให้อเมริกันชนออกอาการหูแหก-ตาแหกขึ้นมามั่งแล้ว...ตลาดเลยเจ๊ง หรือพังไปด้วยประการละฉะนี้!!! หรือเป็นเพราะการประชุมหารือ ในช่วงวันศุกร์ (6 มี.ค.) ที่ผ่านมา ระหว่างประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ระดับวันละ 10.8 ล้านบาร์เรล อย่างรัสเซียกับประเทศผู้นำกลุ่มโอเปกอย่างซาอุดีอาระเบีย ที่ผลิตน้ำมันระดับวันละ 9.7 ล้านบาร์เรล เกิดตกลงกันไม่ได้ ในเรื่องการลดกำลังการผลิต เพื่อรักษาระดับราคาน้ำมันไม่ให้ร่วงหล่นยิ่งไปกว่านี้ ขณะที่รัสเซียยืนกรานจะคงกำลังการผลิตเอาไว้เช่นเดิม ซาอุฯ ก็เลยประกาศว่าจะเพิ่มกำลังการผลิตขึ้นไปอีกเป็นวันละ 12.5 ล้านบาร์เรล ชนิดกะจะเอาให้ “เจ๊ง” กันไปข้าง อะไรทำนองนั้น ผลสรุป...ก็เลยเจ๊งกันจริงๆ จากราคาน้ำมันที่เคยอยู่ในระดับ 33-35 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หล่นวูบเดียวลงมาอยู่ที่ประมาณ 25-30 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และกลายเป็นตัวฉุดกระชากลาก “ตลาด” ให้พลอยต้องเจ๊งตามไปด้วย...

แต่ก็นั่นแหละ...ถ้ามองเฉพาะเรื่องเงิน เรื่องทอง อาจออกไปทาง “เจ๊งกันโดยถ้วนหน้า” อะไรประมาณนั้น แต่เรื่องของ “น้ำมัน” นั้นมันคงจะไปมองแต่เฉพาะเรื่องเงินๆ-ทองๆ เพียงอย่างเดียวคงมิได้ เพราะเป็นสิ่งที่มีความเกี่ยวพันกับ “ยุทธศาสตร์ทางการเมือง” ไปจน “ยุทธศาสตร์ความมั่นคง” ของบรรดาประเทศระดับอภิมหาอำนาจมานานแล้ว และโดยตลอด ดังนั้นภายใต้ความ “เจ๊ง” ที่ว่า คงต้องพยายาม “ถอดรหัส” ออกมาให้ชัดๆ ว่าจะนำไปสู่ความเจ๊งในรูปไหน แนวไหน หรือแม้แต่ใครเจ๊งกว่าใคร สำหรับระดับราคาน้ำมันที่หล่นร่วงลงมาอยู่ที่ประมาณ 25-30 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลนับจากนี้...

ถ้าว่ากันตามสายตาผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน ไปจนด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ราคาน้ำมันในระดับดังกล่าวอาจทำให้ประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่อย่างรัสเซีย “ขนหน้าแข้ง” น่าจะร่วงไปบ้างเป็นบางกระจุก แต่ก็ไม่หนักเท่ากับซาอุฯ ที่อาจถึงขั้น “หะมอยรอมแรม” ขนบน ขนล่าง ปลิวไสวไปกับสายลมเอาง่ายๆ หรืออย่างที่หุ้นส่วนบริษัท “BCS Global Markets” แห่งรัสเซีย “นายSergey Kopylov” เขาสรุปไว้นั่นแหละว่า “รัสเซียได้รับผลกระทบน้อยกว่าซาอุฯ” หรือ “ซาอุฯ ทนอึดได้น้อยกว่ารัสเซียโดยเฉพาะในระยะยาว” หรือด้วยเหตุเพราะพื้นฐานทางเศรษฐกิจรัสเซียช่วงนี้ ออกจะแข็งแกร่ง แข็งโป๊กกว่ายุคอดีตไม่รู้กี่สิบ กี่ร้อยเท่า ไม่ว่าในแง่เงินทุนสำรอง การบริหารจัดการความเสี่ยง ด้วยการทิ้งเงินดอลลาร์ หันมาระดมซื้อทองคำไปเก็บสำรองจนแซงขึ้นเป็นอันดับ 4 อันดับ 5 ของประเทศที่มีทองคำสำรองมากที่สุดในโลกไปแล้ว ดังนั้น...ไม่ว่าธนาคารกลาง หรือรัฐมนตรีคลังรัสเซีย “นายAnton Siluanov” จึงกล้าออกมาประกาศว่า ระดับราคาน้ำมันประมาณ 25-30 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในตลาด ถือเป็นเรื่อง “ชิลๆ” สำหรับรัสเซีย อะไรทำนองนั้น...

แต่สำหรับซาอุฯ อาจหนักหน่อย เพราะพื้นฐานทางเศรษฐกิจช่วงหลังๆ ค่อนข้างทรุดโทรมพอสมควร ตัวเลขขาดดุลพุ่งขึ้นไปถึง 50,000 ล้านดอลลาร์ เมื่อช่วงปีที่ผ่านมา แถมยังต้องเสียเงิน เสียทองกับการทำ “สงครามที่ไม่มีวันจบ” ในเยเมนซะอีกต่างหาก ดังนั้น...อะไร??? ที่ทำให้ซาอุฯ กล้าหันมา “เก” ชนิดแทบหมดหน้าตักในคราวนี้ อันนี้จะมัวแต่ไปมองเฉพาะเรื่องเงินๆ-ทองๆ อาจหา “คำตอบ” ไม่ได้ถนัดชัดเจนสักเท่าไหร่ เผลอๆ อาจต้องไปลากเอาเรื่อง “การเมือง” เข้ามาเกี่ยวข้อง ถึงพอเห็นภาพรางๆ ขึ้นมาได้มั่ง โดยเฉพาะการเมืองภายในราชอาณาจักรซาอุฯ ช่วงนี้ ที่ถึงขั้นต้องกวาดจับ “เจ้าชาย” ถึง 3 รายด้วยกัน ในข้อหาเตรียมการวางแผน “รัฐประหาร” โดยที่เจ้าชาย 2 ราย คือเจ้าชาย “Ahmed bin Abdulaziz Al-Saud” และโดยเฉพาะเจ้าชาย “Mohammed bin Nayef” นั้น ต่างเป็นที่รับรู้ รับทราบกันโดยตลอด ว่าถือเป็น “สายตรง” ของหน่วยงานข่าวกรองอเมริกัน หรือหน่วยงาน “ซีไอเอ” นั่นเอง...

ซึ่งการวางแผนรัฐประหารคราวนี้...จะเกี่ยวโยง เกี่ยวพันไปถึง “ซีไอเอ” หรือไม่ อย่างไร??? ก็ยากส์ส์ส์ที่จะรับรู้และพิสูจน์ได้ แต่ที่แน่ๆ ก็คือ...การประกาศเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันของซาอุฯ จาก 9.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน ขึ้นไปเป็น 12.5 ล้านบาร์เรลต่อวันหลังการประชุมกับรัสเซียล้มเหลวลงไปนั้น ทำให้ระดับราคาน้ำมันที่หล่นวูบลงมาเหลือแค่ 20 กว่าดอลลาร์ต่อบาร์เรล น่าจะเป็นตัวส่งผลให้เกิดรายการ “ตอกตะปูปิดฝาโลง” ต่ออุตสาหกรรมน้ำมัน “Shale Oil” ของอเมริกา ที่มีต้นทุนการผลิตอยู่ที่ประมาณ 60 กว่าดอลลาร์ต่อบาร์เรลเป็นอย่างน้อย จากที่เคย “บูมสุดๆ” เคยมีกำลังการผลิตถึงวันละ 12.5 ล้านบาร์เรล หลัง “ทรัมป์บ้า” ขึ้นมาเป็นผู้นำอเมริกา แล้วฉีกกฎหมายสิ่งแวดล้อมอันเป็นอุปสรรคขัดขวางการผลิตน้ำมันประเภทนี้ลงไปเป็นชิ้นๆ แต่เมื่อราคาน้ำมันค่อยๆ ร่วงลงสู่ระดับ 40-50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ก็เล่นเอาบรรดาผู้ผลิตน้ำมัน “Shale Oil” รายเล็ก รายน้อย ต้องเข้าไปนอนในโลงกันไปเป็นรายๆ เกิดการล้มละลายกันไปเป็นแถบๆ ดังนั้น...เมื่อเจอกับราคาน้ำมันระดับ 20-30 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล อันเนื่องมาจากการ “เกทับ-บลัฟแหลก” ของซาอุฯ ที่จะคิดลอกเลียนแบบอดีตพันธมิตรอเมริกาอย่างตุรกี ช่วงเกิดความพยายามก่อรัฐประหารในตุรกี หรือไม่ อย่างไร? ก็มิอาจสรุปได้ แต่ย่อมส่งผลให้แนวโน้มที่จะนำไปสู่ “อวสานน้ำมัน Shale Oil” จึงมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ โดยถ้าหากบรรดา “หนี้สิน” ที่บริษัทรายย่อยเหล่านี้ กู้เอามาลงทุน ดันกลายเป็น “หนี้เสีย” ขึ้นมาซะอีกต่างหาก อันนี้...เผลอๆ อาจนำไปสู่ “อวสานอเมริกา” หรือ “อวสานเศรษฐกิจอเมริกา” เอาเลยก็ไม่แน่!!!
กำลังโหลดความคิดเห็น