บลจ.กสิกร มองหุ้นไทยยังรับแรงกดดันไวรัสโควิด-19 ระบาด ศก.โลกชะลอ และสงครามน้ำมัน เล็งปรับลดคาดการณ์กำไร บจ. จากการที่ราคาน้ำมันมีการปรับลดลงแรง โดยจากเดิมที่เคยคาดไว้ 4% อาจจะติดลบได้ เนื่องจากกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีมีน้ำหนักสูงถึงเกือบ 16% ของตลาด
น.ส.ธิดาศิริ ศรีสมิต รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน บลจ.กสิกรไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยยังมีปัจจัยกดดันในหลายประเด็นทั้งจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 การชะลอตัวของเศรษฐกิจทั่วโลกรวมถึงไทย อีกทั้งประเด็นล่าสุดจากการที่กลุ่มโอเปกและกลุ่มพันธมิตรไม่สามารถบรรลุข้อตกลงในเรื่องการลดกำลังการผลิตเพิ่มเติมอีก 1.5 ล้านบาร์เรลจากการประชุมในวันที่ 6 มี.ค.63 ที่ผ่านมา ประกอบกับซาอุดีอาระเบียประกาศลดราคาขายน้ำมันดิบของตนเองลงอีก 6-8 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ รวมทั้งมีท่าทีเพิ่มกำลังการผลิตหลังข้อตกลงสิ้นสุดในช่วงสิ้นเดือน มี.ค.63 ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบ (Brent) ปรับลดลงรุนแรงจากก่อนการประชุมอยู่ที่ระดับ 50 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ ลงมาแตะระดับต่ำสุดที่ 31.2 เหรียญดอลลาร์สหรัฐในวันที่ 9 มี.ค.63 ซึ่งลดลงถึง 37% ทำให้ส่งผลลบต่อราคาหุ้นในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี รวมถึงกดดันดัชนีราคาหุ้นให้ปรับลดลงแรงตาม
ประเมินว่าหากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สามารถควบคุมได้ภายใน 2-3 เดือนข้างหน้า คาดว่าเศรษฐกิจไทยมีโอกาสฟื้นตัวได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 63 จากมาตรการกระตุ้นการบริโภค และการท่องเที่ยวของภาครัฐที่จะทยอยประกาศออกมาใช้ รวมทั้งเม็ดเงินลงทุน และการเบิกจ่ายงบประมาณจากภาครัฐที่คาดว่าจะเริ่มเห็นในเดือน เม.ย.63 ประกอบกับสภาพคล่องที่มีอยู่ในระดับสูงจากการดำเนินนโยบายทางการเงินแบบผ่อนคลายของธนาคารกลางทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม จากการที่ราคาน้ำมันมีการปรับลดลงแรง บลจ.กสิกรไทย จึงอยู่ระหว่างพิจารณาปรับตัวเลขคาดการณ์ผลกำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) จากเดิมที่เคยคาดไว้ 4% อาจจะติดลบได้ เนื่องจากกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีมีน้ำหนักสูงถึงเกือบ 16% ของตลาด (ไม่รวมกลุ่มสาธารณูปโภค) ที่ถึงแม้ว่าไทยจะได้ประโยชน์จากระดับราคาน้ำมันที่ต่ำ เนื่องจากมีการนำเข้าพลังงานสุทธิเกือบ 8 แสนล้านบาท แต่การปรับลดลงของราคาน้ำมันทำให้หุ้น Energy Sensitive มีการปรับลดลงตาม รวมถึงผลกระทบในเชิงจิตวิทยาของสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกด้วย ทั้งนี้ สถานการณ์ยังมีความไม่แน่นอนอยู่สูงและยังคงต้องจับตาต่อไป
น.ส.ธิดาศิริ เปิดเผยอีกว่า บลจ.กสิกรไทย จ่ายปันผลกองทุนเปิดเค หุ้นระยะยาวปันผล (KDLTF) กองทุนเปิดเค โกรทหุ้นระยะยาวปันผล (KGLTF) และกองทุนเปิดเค 70:30 หุ้นระยะยาวปันผล (K70LTF) สำหรับรอบผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2562 ถึงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2563 โดยทั้งหมดจะจ่ายในอัตรา 0.14 บาทต่อหน่วย และมีกำหนดจ่ายพร้อมกันในวันที่ 13 มีนาคม 2563 รวมมูลค่าทั้งสิ้น 419.15 ล้านบาท
กองทุน KDLTF, KGLTF และ K70LTF ทั้ง 3 กองทุน มีนโยบายจ่ายปันผลปีละไม่เกิน 2 ครั้ง และมีกลยุทธ์ในการบริหารจัดการกองทุนแบบเชิงรุก (Active Management Strategy) ที่มุ่งสร้างผลตอบแทนให้สูงกว่าดัชนีชี้วัด ซึ่งผู้ลงทุนจะได้รับเงินปันผลระหว่างการลงทุน และมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว