น้ำมันโลกดิ่งแรง! ปตท.ปรับแผนลดสต๊อกน้ำมันในกลุ่มโรงกลั่นและธุรกิจน้ำมัน หวังลดผลกระทบจากการขาดทุนสต็อกน้ำมันในไตรมาส 1 นี้
นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท. (PTT) กล่าวว่า ขณะนี้กลุ่ม ปตท.บริหารจัดการแผนงานเพื่อรองรับสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบที่ร่วงลงอย่างแรง โดยส่วนหนึ่งจะเป็นการลดสต๊อกน้ำมันในส่วนที่ธุรกิจโรงกลั่นหรือธุรกิจน้ำมัน ซึ่งบริษัทในเครือ ปตท.จะบริหารจัดการเองเพื่อลดผลกระทบจากการขาดทุนสต๊อกน้ำมันที่อาจจะเกิดขึ้นในไตรมาส 1/2563 หลังจากที่ราคาน้ำมันตลาดโลกดิ่งลงหนักช่วงนี้จากหลายปัจจัย ทั้งในส่วนของสงครามการค้า, การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 กระทบต่อความต้องการใช้ในตลาดโลก จนทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตรอย่างรัสเซียต่อประเด็นการลดกำลังการผลิตน้ำมัน ทำให้กลุ่มกองทุนเก็งกำไรเทขายสัญญาน้ำมันออกมา
“ราคาน้ำมันลงดีต่อประเทศไทย แต่ก็มีผลต่อ stock loss ก็ต้องลดสำรองลง เพราะยิ่งเก็บสต๊อกเยอะก็จะมีปัญหา โรงกลั่นมีสต๊อกตามกฎหมาย และสต๊อกที่เก็บเอง ซึ่งก็จะ vary ตามดีมานด์ที่ยังโอเวอร์ซัปพลาย แต่ระยะสั้นทำอะไรได้ไม่มาก อะไรไม่จำเป็นก็ลดค่าใช่จ่าย เราเริ่มทำธุรกิจที่ไม่ขึ้นลงกับราคาน้ำมัน อย่างการค้าขาย ไฟฟ้า แต่เหตุการณ์คราวนี้กระทบโรงกลั่นและปิโตรเคมี อันนี้มันก็แค่ชั่วคราว โดยไตรมาส 1 ไม่ดี ก็ไม่ดีเฉพาะ sector ที่เกี่ยวข้องเศรษฐกิจ น้ำมันเครื่องบิน โรงกลั่น” นายชาญศิลป์กล่าว
ในปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาโอเปกและชาติพันธมิตรอย่างรัสเซีย ได้ร่วมประชุมประเด็นการลดกำลังการผลิตน้ำมันหลังจะสิ้นสุดความร่วมมือลดกำลังการผลิตน้ำมัน 1.7 ล้านบาร์เรล/วันในสิ้นเดือน มี.ค.นี้ โดยโอเปกเสนอให้ลดการผลิตน้ำมันลงอีก 1.5 ล้านบาร์เรล/วัน ตั้งแต่เดือน เม.ย.จนถึงสิ้นปี 63 เพื่อชดเชยอุปสงค์น้ำมันที่ลดลงจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 แต่รัสเซียไม่เห็นด้วยและต้องการให้ลดกำลังการผลิตตามโควตาเดิมจนถึงสิ้นสุดไตรมาส 2/63 ฉุดให้ราคาน้ำมันดิบ WTI ปิดเมื่อวันศุกร์ร่วงกว่า 10% ปิดที่ 41.28 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และล่าสุดซาอุดีอาระเบียประกาศวางแผนเพิ่มกำลังการผลิตและลดราคาขายน้ำมันอย่างเป็นทางการ (OSP) สำหรับน้ำมันทุกเกรดที่ส่งมอบให้ลูกค้าทุกประเทศ กดดันให้ราคาน้ำมันดิบเช้านี้ดิ่งกว่า 25% แตะระดับ 30.56 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
นายชาญศิลป์กล่าวว่า ตลาดน้ำมันมีการเก็งกำไรเมื่อกองทุนต่างๆ เห็นว่าโลกมีวิกฤตเศรษฐกิจ ซึ่งจะทำให้ความต้องการใช้น้ำมันลดลงก็จะถอนการลงทุนออก เหมือนในช่วงปี 51 จากวิกฤตแฮมเบอเกอร์ และช่วงปี 57-58 ที่มีการค้นพบการผลิตจาก shale oil และ shale gas จำนวนมาก กองทุนก็จะถอนเงินไปลงทุนที่อื่น ก็จะสะท้อนต่อราคาน้ำมันในตลาดให้สวิงเพราะเกิดจากการเก็งกำไร อย่างไรก็ตาม มองว่าการเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันลักษณะนี้จะเป็นชั่วคราว หลังจากนั้นก็จะฟื้นกลับขึ้นมาและกองทุนต่างๆ ก็จะกลับเข้ามาซื้อใหม่และเศรษฐกิจก็จะดีขึ้น
ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลงไประดับ 30-40 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ก็จะทำให้หลายประเทศโดยเฉพาะในตะวันออกกลางที่มีรายได้หลักจากน้ำมันจะอยู่ไม่ได้นาน และต้องปรับตัวเอง แม้แต่ผู้ผลิต shale oil และ shale gas ที่มีต้นทุนอยู่ราว 40-50 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ก็ต้องปรับตัว ซึ่งผู้ที่มีต้นทุนการผลิตสูงก็จะลดการผลิตลงมาก็จะทำให้ราคาฟื้นตัวได้ ขณะที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ปัจจุบันก็เริ่มคงที่ในจีน และในช่วงจากนี้จนถึงสิ้นปีนี้ก็น่าจะมียารักษาได้ ก็จะลดผลกระทบดังกล่าวได้เช่นกัน