รอยเตอร์/เอเจนซีส์ - ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกดำดิ่งหล่นฮวบลงมาราว 30% ในวันนี้ (9 มี.ค.) โดยที่สัญญาซื้อขายน้ำมันสหรัฐฯกำลังเดินหน้าสู่การติดลบครั้งใหญ่ที่สุดเป็นประวัติการณ์ หลังจากซาอุดีอาระเบีย ประกาศสงครามทั้งหั่นราคาขาย รวมทั้งกำหนดแผนการเพื่อเพิ่มการผลิตอย่างมโหฬารตั้งแต่เดือนเมษายนนี้
ราคาน้ำมันพากันร่วงทรุดถึงประมาณ 1 ใน 3 ทีเดียว ภายหลังความเคลื่อนไหวของซาอุดีอาระเบียที่เท่ากับเป็นการเริ่มต้นสงครามตัดราคา หลังจากที่รัสเซียคัดค้านไม่ตัดลดผลผลิตลงมาอีก ตามข้อเสนอขององค์การผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ซึ่งนำโดยริยาด ที่มุ่งหวังจะรักษาเสถียรภาพของตลาดน้ำมันซึ่งถูกกระหน่ำตีจากความวิตกกังวลว่าเศรษฐกิจโลกจะย่ำแย่สืบเนื่องจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา
สัญญาล่วงหน้า (ฟิวเจอร์ส) ของน้ำมันดิบเบรนต์ทะเลเหนือของอังกฤษ ตกลงมา 12.23 ดอลลาร์ หรือ 27% อยู่ที่ 33.04 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เมื่อถึงเวลา 05.52น. จีเอ็มที (12.52 น.เวลาไทย) หลังจากที่ก่อนหน้านี้ ได้ร่วงมาจนแตะ 31.02 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 12 ก.พ. 2016 เป็นต้นมา เบรนต์ ฟิวเจอร์ส กำลังอยู่ในเส้นทางที่จะติดลบหนักที่สุดในรอบวันภายหลังจากวันที่ 17 ม.ค. 1991 ซึ่งเป็นวันเริ่มต้นสงครามอ่าวเปอร์เซียครั้งแรก
สำหรับน้ำมันดิบเวสต์เทกซัสอินเทอร์มีเดียต (WTI) หรือ ไลท์สวีตครูด ของสหรัฐฯ ร่วง 11.88 ดอลลาร์ หรือ 29% มาอยู่ที่ 29.40 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากก่อนหน้านั้นเซถลาลงมาจนถึง 27.34 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 22 ก.พ. 2016 เป็นต้นมา พวกนักวิเคราะห์มองกันว่า น้ำมันดิบที่ถือเป็นมาตรวัด (benchmark) ของสหรัฐฯชนิดนี้ มีศักยภาพที่จะบ่ายหน้าสู่การลดฮวบครั้งที่หนักที่สุดเป็นประวัติการณ์ โดยแซงหน้าคราวที่ตก 33% ในเดือนมกราคม 1991
การแตกแยกกันหนักในเรื่องการลดกำลังการผลิตเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ของกลุ่มที่เรียกกันว่า “โอเปก+” ซึ่งประกอบด้วยบรรดาสมาชิกโอเปก กับชาติผู้ผลิตน้ำมันรายอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัสเซีย เท่ากับเป็นการยุติความร่วมมือกันซึ่งดำเนินมากว่า 3 ปี เพื่อสนับสนุนราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก โดยที่ช่วงหลังสุดนั้นคือความพยายามในการสร้างเสถียรภาพของราคาซึ่งถูกคุกคามอย่างหนักจากผลกระทบทางเศรษฐกิจของโรคระบาดไวรัสโคโรนา
ซาอุดีอาระเบียนั้นยังวางแผนการจะเพิ่มผลผลิตน้ำมันดิบของตนออกสู่ตลาด ให้อยู่ในระดับสูงกว่า 10 ล้านบาร์เรลต่อวันในเดือนเมษายนนี้ หลังจากที่ข้อตกลงฉบับปัจจุบันซึ่งกำหนดให้ตัดลดการผลิต จะหมดอายุบังคับใช้เมื่อถึงสิ้นเดือนมีนาคม แหล่งข่าว 2 รายบอกกับสำนักข่าวรอยเตอร์ในวันอาทิตย์ (8)
ทั้งนี้ ซาอุดีฯซึ่งยังคงมีฐานะเป็นผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก กำลังพยายามที่จะลงโทษรัสเซีย ที่เป็นผู้ผลิตรายใหญ่อันดับ 2 ของโลก จากการไม่สนับสนุนให้ตัดลดการผลิตซึ่งทางโอเปกเสนอออกมาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
ในอดีต ซาอุดีอาระเบีย, รัสเซีย และชาติผู้ผลิตรายใหญ่อื่นๆ ก็ได้เคยทำสงครามกันเพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดแบบที่เกิดขึ้นคราวนี้ โดยครั้งสุดท้ายคือช่วงระหว่างปี 2014-2016 เพื่อพยายามบีบคั้นพวกผู้ผลิตจากสหรัฐฯ ซึ่งได้เติบโตขยายตัวจนกลายเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก ทั้งนี้ โดยอาศัยเทคโนโลยีใหม่มาสูบน้ำมันจากแหล่งน้ำมันชั้นหินดินดาน (shale oil) และทำผลผลิตได้สูงขึ้น 1 เท่าตัวในรอบ 10 ปีที่แล้ว
“นี่ชัดเจนเลยว่าเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามตัดราคา พวกซาอุดีฯแสดงปฏิกิริยาตอบโต้รวดเร็วมากในช่วงวีกเอนด์ที่ผ่านมา โดยกำลังลดราคาขายอย่างเป็นทางการสำหรับน้ำมันดิบเดือนเมษายนของพวกเขา อย่างชนิดเป็นกอบเป็นกำทีเดียว” ไอเอ็นจี อีโคโนมิกส์ ระบุในคำแถลงสั้นๆ ฉบับหนึ่งของตน
ทั้งนี้ ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซาอุดีอาระเบียได้ลดราคาขายอย่างเป็นทางการของตนสำหรับการจัดส่งเดือนเมษายน สำหรับน้ำมันดิบทุกๆ เกรดไปยังจุดหมายปลายทางทุกๆ แห่ง ในระหว่าง 6-8 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล