xs
xsm
sm
md
lg

หุ้นไทยไหลลงต่อไปเป็นกว่า 111 จุด หรือ -8.18% ตลท.ยันมีมาตรการพร้อมรองรับสถานการณ์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ตลาดหุ้นไทยต้นภาคบ่ายไหลลงไปเป็นกว่า 100 จุด เป็นไปในทิศทางเดียวกับภูมิภาค รับแรงเทขายอย่างหนักในกลุ่มพลังงานและกลุ่มแบงก์ เนื่องจากความกังวลสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ร่วงลงแรงและยังไม่สามารถคาดการณ์จุดต่ำสุดได้ว่าจะลงไปถึงเท่าใด ขณะที่ ตลท. ยอมรับหุ้นร่วงแรงหลังราคาน้ำมันโลกดิ่ง ยันไม่ต้องใช้เซอร์กิตเบรกเกอร์ ลั่นมีมาตรการพร้อมรองรับสถานการณ์ เดินหน้าเตรียมออกมาตรการช่วยเอสเอ็มอีรับมือโควิด-19

เมื่อเวลา 14.30 น. ดัชนี SET มาอยู่ที่ 1,264.27 จุด ลดลง 100.30 จุด (-7.35%)

ล่าสุดเมื่อเวลา 14.39 น. ดัชนี SET อยู่ที่ 1,253.01 จุด ลดลง 111.56 จุด (-8.18%)

นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน-กลยุทธ์การลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วงบ่ายนี้ปรับตัวลงไปอีกเป็นกว่า 100 จุด เช่นเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่ต่างติดลบถ้วนหน้า รับผลจากราคาน้ำมันที่ร่วงแรงจากที่ซาอุดีอาระเบียใช้มาตรการตอบโต้หลังจากกลุ่มโอเปกและพันธมิตร โดยเฉพาะรัสเซีย ไม่สามารถตกลงเงื่อนไขการลดกำลังการผลิตได้ ส่งผลให้ราคาน้ำมันร่วงแรงและกดดันหุ้นในกลุ่มพลังงานถ่วงตลาดหุ้นไทยฯ

นอกจากนั้น ขณะนี้ก็ยังไม่สามารถประเมินจุดต่ำสุดของราคาน้ำมันรอบนี้ได้ ทำให้ตลาดสินทรัพย์เสี่ยงยังคงผันผวน อย่างไรก็ดี นักลงทุนก็ยังสามารถที่จะรอตั้งรับเพื่อถือลงทุนระยะกลางถึงยาวได้ พร้อมให้แนวรับ 1,220 จุด ส่วนแนวต้าน 1,280-1,300 จุด

ด้านนายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยเช้านี้ (8 มี.ค.) ปรับตัวลงมามากกว่า 6% เพราะหุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวลงแรงมากกว่า 15% จากราคาน้ำมันตลาดโลกปรับตัวลดลงจากระดับ 50 เหรียญ/บาร์เรล มาอยู่ที่ 30 เหรียญ/บาร์เรล ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก นอกจากนี้ กลุ่มที่ไม่เกี่ยวข้องกับพลังงานยังปรับตัวลดลง 2-3% ขณะที่ตลาดหุ้นต่างประเทศที่เปิดให้ซื้อขายในช่วงเช้าวันนี้ทั้งตลาดเอเชียและออสเตรเลียปรับตัวลดลง 5-6% ส่วนตลาดหุ้นยุโรปจะเปิดทำการในช่วง 15.00 น.

ทั้งนี้ กลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มพลังงาน และกลุ่มทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งมีสัดส่วนรวมกันถึง 30% ของมาร์เกตแคปรวมของตลาดหลักทรัพย์ และกลุ่มที่ 3 คือ กลุ่มธนาคาร มีสัดส่วนมาร์เกตแคป 15% ของมาร์เกตแคปรวมของตลาดหลักทรัพย์

ขณะที่มองว่าการที่ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงค่อนข้างมากวันเดียวนั้น ยืนยันว่าหุ้นร่วงลงมาแรงก่อนหน้านี้ และวันนี้ไม่เกี่ยวกับปัจจัยเครื่องมือการซื้อขาย ทั้งบล็อกเทรด โปรแกรมเทรดดิ้ง และช็อตเซล และเชื่อว่ายังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้มาตรการการหยุดพักการซื้อขายชั่วคราว หรือเซอร์กิตเบรกเกอร์ ตลอดจนไม่มีความจำเป็นที่จะต้องออกมาตรการพิเศษเพื่อกำกับการดูแลซื้อขายเพิ่มเติม

ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ รายงานผลกระทบต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้รับทราบ โดยทางกระทรวงการคลังจะมีการจัดตั้งคณะทำงานร่วมกันเพื่อหารือเกี่ยวกับมาตรการระยะสั้น เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 ส่วนมาตรการระยะยาวจะเป็นการปรับโครงสร้างด้านตลาดทุน โดยจะออกมาตรการให้ความช่วยเหลือบริษัทหลักทรัพย์ (บล.), บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) และบริษัทจดทะเบียน (บจ.) เพื่อหาแนวทางดึงเงินลงทุน รวมถึงเพิ่มช่องทาง และเปิดโอกาสให้สามารถนำเงินไปลงทุนเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ให้มากขึ้น ซึ่งน่าจะได้ข้อสรุป และออกมาตรการเร็วๆ นี้ พร้อมแนะนำนักลงทุนขอให้ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด และอ่านบทวิเคราะห์ถึงผลกระทบสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะทุกวันนี้มีข่าวทั้งด้านลบและด้านบวก กระทบอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมาก และได้รับผลกระทบน้อย ซึ่งเป็นโอกาสในการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นในประเทศ หรือการขยายลงทุนไปทั่วโลก

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซียพลัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลงแรงกว่า 90 จุดมาจากภาวะการตื่นตระหนกจากแรงขายหุ้นกลุ่มพลังงานเป็นหลัก หลังกลุ่มโอเปกและพันธมิตรล้มเหลวในข้อตกลงปรับลดกำลังการผลิต ซึ่งราคาน้ำมันโลกที่ปรับลดลง ทุก 5 เหรียญส่งผลต่อประมาณการกำไรของตลาดหลักทรัพย์ลดลง 10,000 ล้านบาท หรือเท่ากับกำไรต่อหุ้นลดลง 0.93 บาทต่อหุ้น โดยมองว่าความผันผวนยังมีต่อเนื่อง แต่เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยมีโอกาสที่จะฟื้นตัวขึ้นมาบริเวณ 1,300 จุด อย่างไรก็ตาม ยังมีความกังวลเรื่องการระบาดของโควิด-19 ซึ่งมีการระบาดไปหลายประเทศทั่วโลก จะเป็นตัวบั่นทอนภาวะเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสแรกปีนี้ และคาดว่าสถานการณ์จะยืดเยื้อไปจนถึงครึ่งปี 2563

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ ให้นักลงทุนกระจายการลงทุน โดย 45% ถือเป็นเงินสด หรือลงทุนในตราสารหนี้ อีก 35% ลงทุนในหุ้นไทย ใน 3 กลุ่ม คือ กลุ่มเงินปันผลสูง เช่น INTUCH, DIF, LH กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น CPALL, JMART กลุ่มธุรกิจผูกขาด เช่น AOT ส่วนอีก 10% ลงทุนในหุ้นต่างประเทศ และอีก 10% ลงทุนในอนุพันธ์กึ่งทุน กึ่งหนี้


กำลังโหลดความคิดเห็น