xs
xsm
sm
md
lg

วิกฤตซ้อนวิกฤต -ซ้อนวิกฤต

เผยแพร่:   โดย: อ.สุดาทิพย์ จารุจินดา อินทร


 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ อังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี
ไวรัสโควิด-19 คือฟางยักษ์เส้นสุดท้ายที่ทิ้งลงมาบนหลังอูฐ และน่าจะทำให้อูฐหลังหักได้จริงๆ หลังจากผ่านการบรรทุกด้วยของหนักๆ มาตลอด 2 ปีที่ผ่านมา

นั่นหมายถึงโลกของเราที่กำลังเห็นเศรษฐกิจโลกเดินเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในเร็วๆ นี้ หลังจากผ่าน 3 วิกฤตใหญ่ของโลกต่อเนื่องกัน

เป็นวิกฤต-ซ้อนวิกฤต-ซ้อนวิกฤต-ซ้อนวิกฤต

วิกฤตแรกมาจากคุณทรัมป์กับการทยอยประกาศศึกการค้ากับทั้งโลก ไม่ว่าประเทศไหนที่ได้เปรียบดุลการค้ากับสหรัฐฯ ทั้งข่มขู่และลงดาบฟันโครมลงมาลงโทษหลายประเทศทั่วหน้า ด้วยการขึ้นกำแพงภาษีนำเข้าสินค้าจากทั่วโลก จนการค้าของโลกติดขัด-ต้องเปลี่ยน Gobal Supply Chain หรือเปลี่ยนคู่ค้ากันเวียนหัวไปหมดทั้งโลก

เป็นการสร้างกำแพงภาษีสูงลิบต่อสินค้าสำคัญๆ ที่นำเข้าสหรัฐฯ...หลังจากที่ทรัมป์ได้พยายามสร้างกำแพงกั้นแรงงานราคาถูกจากอเมริกากลางและใต้...และหลังจากสร้างกำแพงขวางกั้นการเดินทางเข้าสหรัฐฯ จากประชาชนชาวมุสลิมที่เข้ามา ทั้งเรียนและทำงานในอุตสาหกรรมไอทีของสหรัฐฯ

และวิกฤตสงครามการค้านี้ เกิดขึ้นหลังจาก 1 ปีที่เกิดวิกฤตข่มขู่ด้วยการจะใช้อาวุธนิวเคลียร์ระหว่างทรัมป์และผู้นำเกาหลีเหนือ ที่โลกหวาดผวากับสงครามข่มขู่

ตามมาด้วยวิกฤตที่สอง คือ วิกฤตโลกร้อนที่โลกต้องตะลึงกับไฟป่าที่ทำลาย ทั้งป่าและบ้านเรือนชาวบ้าน (รวมทั้งดาราฮอลลีวูด) ที่ตอนใต้ของรัฐแคลิฟอร์เนีย และไฟป่าทั้งเกิดในยุโรป ทั้งที่ฝรั่งเศส, สเปน, โปรตุเกส สร้างความเสียหายมากมายทางเศรษฐกิจ และทำลายแหล่งผลิตออกซิเจน รวมทั้งความชุ่มชื้นของโลก

ที่สำคัญคือ หน้าที่สำคัญของป่าไม้ที่ช่วยซับ และคลายความร้อนจากภาวะเรือนกระจก รวมทั้งดูดซับก๊าซเรือนกระจกจากโรงงาน และไอเสียจากรถยนต์ และเรือบิน

ภาพไฟป่าลุกลามที่ออสเตรเลียคือ ฝันร้ายที่เมืองใหญ่ๆ ต้องราบลงไป รวมทั้งสัตว์ป่าเป็นพันล้านตัวซึ่งจะเปลี่ยนความสมดุลระบบนิเวศของโลกด้วย

ผึ้งจำนวนมหาศาลที่อาศัยดอกไม้ในป่าของออสเตรเลียถึงกับขาดอาหารอย่างรุนแรง เมื่อป่าถูกทำลายมากมายเช่นนี้ และจะขาดผึ้งที่ทำหน้าที่สำคัญในการผสมเกสรของอุตสาหกรรมผลไม้ของออสเตรเลีย!

รวมทั้งฝูงตั๊กแตนเป็นหลายพันล้านตัวที่ขยายพันธุ์อย่างน่าตกใจทางฝั่งตะวันออก (Horn of Africa) ของทวีปแอฟริกา (จากภาวะโลกร้อน) เข้าทำลายพืชผลเกษตร (ข้าวโพด และพืชเศรษฐกิจอื่นๆ) จนจะเกิดภาวะขาดแคลนรุนแรงของแหล่งอาหารของแอฟริกา

ภาวะแล้งอย่างหนักในหลายประเทศ (ที่ผลิตอาหาร) รวมทั้งประเทศไทย (และออสเตรเลีย) จะกระหน่ำภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่กำลังจะเกิดขึ้นทั่วโลก

หลังแล้งหนัก เกิดปรากฏการณ์น้ำท่วมจากฝนตกรุนแรงในออสเตรเลีย และหลายแห่งในยุโรปกลับทำลายพืชผลเกษตรโดยสิ้นเชิง

2 วิกฤตก็หนักหนากับโลกเราแล้วในปีนี้ ก็ปรากฏเกิดวิกฤตที่สามอย่างไม่คาดฝัน คือ ไวรัสโควิด-19 และใจกลางของพายุเกิดที่ประเทศเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 2 ของโลก ก่อนหน้าปีใหม่จีนเพียงไม่กี่วัน

คนจีนได้เริ่มเดินทางท่องเที่ยวออกจากเมืองศูนย์กลางของประเทศ (อู่ฮั่น) ถึง 5 ล้านคน ก่อนจะมีการประกาศปิดเมือง (Lock Down) จากรัฐบาลที่ปักกิ่ง

และประเทศจีนเป็นแหล่งผลิตต้นทางของ Global Supply Chain ที่ส่งชิ้นส่วนของอุตสาหกรรมผลิตแทบทุกชนิด รวมทั้งอุตสาหกรรมไอที (ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของอุตสาหกรรมการเงินการธนาคาร, ประกัน, การบริการ, ท่องเที่ยวเดินทาง เป็นต้น)

การจัดการกับโรคร้ายนี้ ทางการจีนที่ปักกิ่งได้เข้าจัดการกับวิกฤตนี้อย่างรวดเร็ว...เป็น Crisis Management ที่ได้รับคำชมจากองค์การอนามัยโลกอย่างยิ่ง แม้ว่าช่วง 2 อาทิตย์แรกที่เกิดโรคระบาด (ช่วงตั้งแต่กลางเดือนธันวาคมปีที่แล้ว) จะเป็นช่วงที่รัฐบาลท้องถิ่นของอู่ฮั่นยังไม่เข้าใจว่าเกิดไวรัสร้ายแรงขึ้นแล้ว (โดยเฉพาะช่วงเฉลิมฉลองปีใหม่ด้วย)...หรืออาจพยายามปกปิดข่าวเพราะจะทำลายอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และอุตสาหกรรมการผลิตของจีน...จนทำให้รัฐบาลกลางที่ปักกิ่งเข้ามาพักงาน ทั้งเลขาธิการพรรคที่อู่ฮั่น และเจ้าหน้าที่ระดับสูงด้านสาธารณสุขของอู่ฮั่น แล้วนำเอาคนจากส่วนกลางเข้าจัดการกับวิกฤตทันที

แม้แต่นักวิทยาศาสตร์ในสหรัฐฯ และในยุโรปหลายคนยังตั้งข้อสังเกตว่า ปธน.สี...ที่เป็นพลเรือนแท้ๆ...แต่ได้เข้าจัดการกับวิกฤตโรคร้ายนี้ด้วยระบบปฏิบัติการวินัยทหาร

คือ เปลี่ยนจากพลเรือนกลายเป็นทหารได้อย่างเด็ดขาด เพราะเป็นภาวะสงครามกับ “ไอ้ตัวร้าย-Devil” ในคำของปธน.สี

จนตอนนี้ จีนก็คือประเทศ FIFO คือ First-in, First-out...กับประเทศที่ประชากรถึงเกือบ 1,400 ล้านคน

ปธน.สีเพิ่งเดินทางไปเยือนอู่ฮั่นเมื่อ 2 วันมานี้ เพื่อให้ประชาชนจีนและทั้งโลกได้เห็นถึงการปราบศึก “ไอ้ตัวร้าย” ได้อย่างสวยงาม...แค่ 3 เดือน...ซึ่งความเด็ดขาดและความเฉียบแหลมร่วมแรงร่วมใจจากประชาชนและทุกๆ ฝ่าย ทำให้เขาปราบไอ้ตัวร้ายได้

ด้านการแพทย์ต้องมาก่อน เพื่อปราบไอ้ตัวร้ายไม่ใช่มัวแต่พะวงว่าคนอยู่กับบ้าน-ไม่ใช้เงินไปดูหนังดูกีฬาหรือการจัดแสดงสินค้า จะทำให้เศรษฐกิจหยุดชะงัก

บุคลากรทางการแพทย์ที่ไม่พอกับการรับมือการระบาดใหญ่...ทำให้ปธน.สีระดมบุคลากรการแพทย์ในกองทัพเป็นหมื่นๆ คนเข้ามาช่วย ทั้งที่อู่ฮั่น, ที่ปักกิ่ง และเซี่ยงไฮ้

อุปกรณ์การแพทย์ก็เป็นหัวใจ ที่โลกเห็นการเนรมิตโรงพยาบาลที่มีเตียงเป็นหลายหมื่นเตียงต้องตั้งขึ้นอย่างกับฝันไป

รวมทั้งอุปกรณ์ช่วยหายใจ (ปอดเทียม) ก็จัดหา (หรือเร่งผลิต) เป็นหมื่นๆ ตัว

พร้อมกับหน้ากากอนามัย, แว่นตากันเชื้อโรค และชุดปลอดเชื้อ, ถุงมือสำหรับแพทย์, พยาบาล รวมทั้งเครื่องมือตรวจเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่จัดทำขึ้นอย่างด่วนสุด เพื่อตรวจเชื้อและคัดแยกผู้ติดเชื้อออกจากคนที่ยังไม่มีเชื้อ

ด้านยารักษา จีนระดมใช้ทั้ง A1 และ Labs ต่างๆ เพื่อหันไปหาสูตรยาโบราณเป็นหมื่นตำรับ และคัดออกมาได้เป็นพันเป็นร้อย จนได้ยาหลายตำรับที่อยู่ในข่ายรักษาควบคุมโรคได้อย่างรวดเร็ว

สำหรับปธน.ทรัมป์ ที่รับมือกับโรคร้ายนี้ตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์ คือ พูดครั้งแล้วครั้งเล่าว่า มันจะไม่ระบาดในสหรัฐฯ และหันไปถล่มสื่อสหรัฐฯ ว่าพยายามกล่าวหาว่าเขาจัดการไม่เป็นกับวิกฤต รวมทั้งโทษรัฐบาลโอบามา ว่าเป็นคนตัดงบด้านการตรวจสอบเชื้อโรค ทั้งๆ ที่เป็นการโกหกซึ่งๆ หน้า

เนื่องจากทรัมป์นั่นแหละเป็นคนตัดงบสาธารณสุข โดยเฉพาะพวกศูนย์ตรวจเชื้อต่างๆ ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา (เพราะงบสาธารณสุขเป็นงบที่ช่วยคนจน-ซึ่งเป็นฐานเสียงของเดโมแครต)

ทรัมป์กล่าวหาทั้งประธานสภาแนนซี เพโลซี และผู้นำเสียงข้างน้อยในวุฒิสภาที่ออกมาเตือนรัฐบาลให้เตรียมรับมือกับการระบาดใหญ่ในสหรัฐฯ-โดยทรัมป์บอกว่าเป็นแผนร้ายที่ทำให้ประชาชนตื่นตระหนก-เพื่อหาทางโค่นเขา หลังจากพรรคเดโมแครตสร้างเรื่องโกหกในการกล่าวหาพยายามถอดถอนเขาในสภาแต่ไม่สำเร็จ

ถ้าเปรียบเทียบ ทรัมป์กับผู้นำเยอรมนี กับการรับมือวิกฤตการระบาดของไวรัสโควิด-19 นี้ จะเห็นแตกต่างกันหน้ามือเป็นหลังมือ

แมร์เคิลเพิ่งออกมาเมื่อวานนี้ เป็นครั้งแรกที่ออกมาเตือนคนเยอรมันให้เตรียมรับระบาดใหญ่ในเยอรมนีอย่างมีสติ

เธอเตือนว่า ชาวเยอรมันอาจสูงถึง 60-70% ที่จะติดเชื้อ-ซึ่งจะทำให้ต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตในช่วงโรคระบาด เช่น การปิดโรงเรียน, ปิดโรงงาน, การอยู่กับบ้าน, ปิดงานแสดง, การกีฬาหรือการประชุมต่างๆ และต้องมีการระดมแพทย์ พยาบาลเพื่อรักษาผู้ป่วยจำนวนมาก รวมทั้งต้องระดมหาอุปกรณ์การแพทย์ให้มากที่สุด

ขณะที่ทรัมป์พยายามพูดปกปิดความจริงเมื่อ 2 เดือนที่แล้วคือ ปลอบ (หลอก??) ว่า อเมริกาภายใต้การบริหารของเขา-ยิ่งใหญ่และจะปลอดจากการระบาดแน่นอน-เขาบอกให้ทุกคนมีชีวิตปกติ ไม่ต้องเครียดอะไร, คนป่วยก็ควรไปทำงานตามปกติ!

จนเช้านี้เอง ที่ออกมาแถลง (ยอมกลืนน้ำลาย) ว่า กำลังมีการระบาดของโรคร้ายนี้จากต่างประเทศ เข้าสู่อเมริกา และสหรัฐฯ เตรียมรับมือไว้เต็มที่

หลายคนสงสัยถึงความพร้อมของสหรัฐฯ ซึ่งขาดเครื่องมือการแพทย์อย่างรุนแรงขณะนี้ สำหรับรับมือกับโรคอุบัติใหม่ เช่น เครื่องช่วยหายใจไม่พออย่างหนัก, เครื่องตรวจเชื้อโรคก็ไม่พอ

แต่วิกฤตทั้งหลายก็ไม่สำคัญเท่าวิกฤตศรัทธาต่อผู้นำที่ไม่รู้วิธีจัดการกับวิกฤต ที่เรากำลังเห็นชัดจากทรัมป์ และผู้นำของไทยขณะนี้


กำลังโหลดความคิดเห็น