เอเอฟพี - สหรัฐฯจะปรับลดวงเงินสนับสนุนงบประมาณปฏิบัติการต่างๆของนาโต้ จากการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่ในวันพฤหัสบดี(28พ.ย.) สวนทางกับเยอรมนีที่ยอมเพิ่มการใช้จ่าย ในขณะที่พันธมิตรแห่งนี้พยายามเอาใจประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ก่อนการประชุมซัมมิตในสัปดาห์หน้า
ทรัมป์วิพากษ์วิจารณ์สมาชิกยุโรปซ้ำแล้วซ้ำเล่าต่อการแสวงหาผลประโยชน์จากความใจกว้างของสหรัฐฯ โดยชี้หน้าไปที่เยอรมนี มหาอำนาจทางเศรษฐกิจของทวีป ต่อกรณีที่ยังดำเนินการอย่างเอื่อยเฉื่อย ในการปฏิบัติตามพันสัญญาของหมู่มวลพันธมิตรที่ว่าแต่ละชาติจะต้องจัดสรรงบประมาณสนับสนุนด้านการป้องกันตนเองในสัดส่วน 2% ของจีดีพี
ในขณะที่ความขุ่นเคืองส่วนใหญ่ของทรัมป์ มุ่งประเด็นไปที่งบประมาณด้านการป้องกันตนของยุโรป พวกเจ้าหน้าที่สหรัฐฯก็ส่งเสียงบ่นต่อกรณีที่วอชิงตันต้องแบกรับส่วนแบ่งที่ไม่สมสัดส่วนในค่าใช้จ่ายด้านกลาโหมของนาโต้เช่นกัน อย่างไรก็ตามในตอนนี้พันธมิตร 29 ยินยอมที่จะเปลี่ยนแปลงแล้ว
"พันธมิตรทุกชาติเห็นพ้องในสูตรแบ่งเบาค่าใช้จ่ายใหม่ ภายใต้สูตรใหม่นี้ ส่วนแบ่งเงินสนับสนุนด้านกลาโหมในส่วนของพันธมิตรยุโรปส่วนใหญ่และแคนาดาจะเพิ่มขึ้น ในขณะที่ส่วนแบ่งของสหรัฐฯจะลดลง" เจ้าหน้าที่นาโต้กล่าว "มันเป็นการแสดงออกที่สำคัญของพันธมิตร ในการทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับพันธมิตร และเป็นการแบ่งเบาภาระที่ยุติธรรมขึ้น"
ปัจจุบัน สหรัฐฯเป็นผู้อุดหนุนค่าใช้จ่ายคิดเป็น 22.1% ของงบประมาณนาโต้ในปี 2019 ส่วนเยอรมนี จัดสรรงบอุดหนุน 14.8% ภายใต้สูตรที่คำนวณจากผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(จีดีพี)ของแต่ละชาติ
ภายใต้สูตรใหม่ สหรัฐฯจะปรับลดเงินสนับสนุนเหลือ 16.35% ส่วน เยอรมนี จะเพิ่มขึ้นสู่ระดับเดียวกัน ขณะที่พันธมิตรอื่นๆก็จะจ่ายเงินสนับสนุนเพิ่มขึ้น
แม้จำนวนเงินที่เกี่ยวข้องถือว่าค่อนข้างน้อยในแง่ด้านการทหาร ด้วยสมาชิก 29 ชาติในพันธมิตรใช้จ่ายงบประมาณด้านป้องกันตนเองรวมเกือบ 1 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2018 แต่ก็ไม่ใช่ทุกประเทศที่พอใจกับความเคลื่อนไหวล่าสุด
เหล่าผู้แทนทูตเปิดเผยว่าฝรั่งเศสปฏิเสธที่จะทำตามข้อตกลงใหม่ และจะยังคงจัดสรรงบประมาณสนับสนุนในระดับเดิม 10.5% โดยข้อตกลงที่มีการเปลี่ยนแปลงตัวเลขดังกล่าว เป็นการประดิดประดอยขึ้นเองระหว่างทรัมป์กับนางอังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี โดยไม่มีการปรึกษาอย่างเหมาะสมกับพันธมิตรอื่นๆ
คาดหมายว่า เยนส์ สโคลเทนเบิร์ก เลขาธิการนาโต้จะแถลงตัวเลขใหม่ในวันศุกร์(29พ.ย.) พร้อมกับจะแสดงให้เห็นว่าพันธมิตรั้งหลายมีการใช้จ่ายงบประมาณด้านกลาโหมมากน้อยแค่ไหนนับตั้งแต่ ทรัมป์ ก้าวเข้าสู่อำนาจในปี 2016 เพื่อผ่อนคลายบรรยากาศ ก่อนที่พวกผู้นำชาติต่างๆจะมีกำหนดพบปะหารือกันในกรุงลอนดอนวันพุธหน้า(3ธ.ค.)