อนุกมธ.กัญชงหวังผลักดันเป็นพืชเศรษฐกิจ เตรียมเสนอกม.เข้าสภา "พรรณสิริ"ชี้ปลูกได้ดีเหมาะกับอากาศไทย เผยตลาดโลกต้องการสูง มูลค่ารวมกว่า 1.2 แสนล้าน
นางพรรณสิริ กุลนาถศิริ ส.ส.สุโขทัย พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาศึกษาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการใช้กัญชงอย่างเป็นระบบ กล่าวถึงความคืบหน้าการทำงานของคณะอนุกรรมาธิการฯว่า ได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาประชุมเพื่อหารือแล้ว 7 ครั้ง โดยมีเป้าหมายส่งเสริมให้พืชกัญชงเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของไทย
ทั้งนี้เป็นที่ยอมรับกันแล้วว่า พืชกัญชง มีคุณประโยชน์มหาศาล ทั้งในด้านการแพทย์ ผลิตภัณฑ์สุขภาพ เครื่องอุปโภคบริโภค จึงควรส่งเสริมพืชกัญชง ให้เป็นพืชทางเลือกของเกษตรกรไทย เนื่องจากกัญชงมีความเหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย เกษตรกรไทยมีความเชี่ยวชาญในการเพาะปลูก และประเทศไทยเป็นแหล่งผลิตอาหารและ ผลิตภัณฑ์สุขภาพที่เป็นที่ยอมรับในระดับโลก เพื่อประโยชน์ทางเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม รวมทั้งการสืบสานให้เป็นพืชทางวัฒนธรรมของชาติสืบต่อไป
"อนุกรรมาธิการฯ ได้กำหนดเป้าหมายของการศึกษาเกี่ยวกับการใช้กัญชงอย่างเป็นระบบ โดยใช้กรอบการศึกษา 3 ด้าน คือ
1. ด้านการปลูก ด้านการผลิต และด้านการแปรรูป 2. ด้านเศรษฐกิจ การนำเข้าและการส่งออก และ 3. ด้านกระบวนการกำกับ ติดตาม ตรวจสอบและการควบคุมมาตรฐานพืชกัญชง
ทั้งนี้ ในปัจจุบันมีการวิจัยเพื่อส่งเสริมและรับรองสายพันธุ์กัญชง จากมูลนิธิโครงการหลวง โดยสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) เป็นสายพันธุ์ RPF1, RPF2, RPF3 และ RPF4 โดยในอนาคตรัฐบาลมีโครงการจะรับรองสายพันธุ์พื้นบ้านเพิ่มเติมอีกประมาณ 5-10 สายพันธุ์ เพื่อผลักดันให้เกิดการปลูกกัญชงในระดับพื้นบ้าน เป็นพืชเศรษฐกิจของประเทศอีกชนิดหนึ่งต่อไป"
นางพรรณสิริ กล่าวด้วยว่า พืชกัญชงกำลังเป็นที่ต้องการในตลาดโลก จากสารประกอบที่สำคัญ คือ CBD (Cannabidiol)ที่สามารถนำมาผลิตและแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพ ผลิตภัณฑ์เครื่องอุปโภค บริโภค เป็นประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจและภาคอุตสาหกรรม มีเมล็ดที่แปรรูปเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ไม่ว่าจะรับประทานเป็นเมล็ดแห้งหรือผสมน้ำมัน รวมทั้งใช้ในการผลิตเครื่องสำอาง ที่มีมูลค่ารวมในตลาดโลกปัจจุบันถึงราว 120,000 ล้านบาท เราคาดว่าประชาชนทุกคน ผู้ตั้งใจบุกเบิกพืชเศรษฐกิจใหม่นี้ จะก้าวสู่ความสำเร็จได้ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ทั้งนี้การดำเนินงาน ของคณะอนุกรรมาธิการฯ มุ่งเน้นกระบวนการทางกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และข้อเสนอแนะอื่นๆ ที่พร้อมรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน และจะจัดทำข้อมูลสรุปเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรต่อไป
ด้านนพ.มารุต มัสยวาณิช ที่ปรึกษาคณะอนุกรรมาธิการ กล่าวว่า กลไก ทางกฎหมายเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาการใช้กัญชงอย่างเป็นระบบ โดยมีกฎหมายที่เกี่ยวข้อง คือ
1. พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม
2. กฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตผลิต จําหน่ายหรือมีไว้ในครอบครอง ซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 เฉพาะเฮมพ์ พ.ศ. 2559
3. ประกาศคณะกรรมการควบคุม ยาเสพติดให้โทษ เรื่อง กำหนดลักษณะกัญชง (Hemp) พ.ศ.2562
4. ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2562
5. ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่าย หรือมีไว้ในครอบครอง ซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 เฉพาะกัญชง (Hemp) พ.ศ. ...รวมถึงยังมีกฎหมายประกอบที่เกี่ยวข้องทั้งในและต่างประเทศ แนวปฏิบัติ กฎ และระเบียบในกระบวนการดูแล กำกับ ติดตามการใช้พืชกัญชงให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล เพื่อการแก้ปัญหาข้อจำกัดด้านการปลูก การผลิตและการแปรรูป รวมถึงการนำเข้าและการส่งออก นำไปสู่การพัฒนากัญชงให้เป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของไทย