วานนี้ ( 9 มี.ค.) นายชำนาญ รวิวรรณพงษ์ อดีตประธานแผนกคดีล้มละลายในศาลฎีกา เข้ายื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ขอให้วินิจฉัยการกระทำของประธานศาลฎีกา ที่ออกคำสั่งให้พ้นจากราชการรับบำเหน็จบำนาญ ว่า เป็นการกระทำที่ขัด หรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 และการที่นำการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ และกฎหมายขึ้นกราบบังคมทูลเพื่อให้ทรงมีพระบรมราชโองการให้พ้นจากราชการเป็นการกระทำที่ละเมิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 6 หรือไม่ รวมทั้งวินิจฉัยว่า พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการ พ.ศ.2543 ที่ไม่ให้สิทธิผู้พิพากษาอุทธรณ์คำสั่ง คณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (ก.ต.) ต่อองค์กรอิสระอื่นได้ขัดต่อหลักศักดิ์ศรีความเป็นมุนษย์ และ มาตรา 47 ( 6) พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ 2561 ที่ห้ามไม่ให้การกระทำที่เกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของก.ต. เป็นเรื่องละเมิดสิทธิที่ยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญได้
นายชำนาญ กล่าวว่า ปกติข้าราชการตุลาการจะเกษียณอายุ 70 ปี ตอนนี้ตนอายุ 65 ปี ยังไม่ 70 ประธานฯ กลับมีคำสั่งให้ตนพ้นจากราชการ โดยมีผลนับแต่วันที่ 27 พ.ย. 62 เป็นคำสั่งที่ไม่มีกฎหมายรองรับให้ทำการ ที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 190 บัญญัติว่า “พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งและให้ผู้พิพากษาและตุลาการพ้นจากตำแหน่ง” นั้น มีเจตนารมณ์เพื่อคุ้มครองความเป็นอิสระของผู้พิพากษาในทางส่วนตัว เพื่อให้ผู้พิพากษามั่นใจได้ว่า การแต่งตั้งโยกย้าย และการให้พ้นจากตำแหน่ง หรือพ้นจากราชการ ต้องเป็นไปโดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และกฎหมาย เนื่องจากต้องนำความกราบบังคมทูลพระมหากษัตริย์
ดังนั้น กรณีนี้ประธานศาลฎีกาจึงไม่อาจนำการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมได้
นอกจากนี้ กรณีดังกล่าวสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ยังเคยทักท้วงมาถึง 2 ครั้ง โดยครั้งแรกทักท้วงว่า กรณีการให้ตนพ้นจากราชการดังกล่าว ไม่ใช่เป็นการนำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงทราบ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 และส่งเรื่องคืนสำนักงานศาลยุติธรรม ส่วนครั้งที่ 2 สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี มีหนังสือถึงสำนักงานศาลยุติธรรม ถามว่าจะให้ตนพ้นจากราชการตามกฎหมายมาตราใด
"ประธานศาลฎีกาบอกว่าพ้นโดยปริยาย ตามกฎหมายมันไม่มี หน่วยงานอื่นจะให้ลูกจ้างสักคนออกจากตำแหน่งยังต้องมีกฎหมาย นี่จะให้ผู้พิพากษาพ้นจากตำแหน่งก่อนครบอายุ 70 ปี โดยไม่มีกฎหมายให้อำนาจเลย จะทำได้อย่างไร เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ คนลงนามสนองพระบรมราชโองการ คือท่านนายกรัฐมนตรี ฉะนั้นถ้าหากมีการกระทำที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ แล้วมีการนำความขึ้นกราบบังคมทูล ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ก็ต้องรับผิดชอบต่อการกระทำนั้นด้วย"
นายชำนาญ กล่าวว่า การที่ประธานศาลฎีกา ยืนยันให้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พ้นจากราชการ ทั้งที่มีข้อทักท้วงของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ถึง 2 ครั้ง ถือเป็นการจงใจกระทำการขัดต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมาย และละเมิดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 6 จึงขอให้ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยว่า การกระทำของประธานศาลฎีกา ที่ออกคำสั่งให้ตนพ้นจากราชการเพื่อรับบำเหน็จบำนาญ เป็นการขัด หรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 และ พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ. 2543 มาตรา 32 และการที่นำความกราบบังคมทูลเพื่อให้ทรงมีพระบรมราชโองการให้นายชำนาญ พ้นจากราชการ โดยขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมาย เป็นการละเมิดรัฐธรรมนูญ มาตรา 6
นายชำนาญ กล่าวว่า ปกติข้าราชการตุลาการจะเกษียณอายุ 70 ปี ตอนนี้ตนอายุ 65 ปี ยังไม่ 70 ประธานฯ กลับมีคำสั่งให้ตนพ้นจากราชการ โดยมีผลนับแต่วันที่ 27 พ.ย. 62 เป็นคำสั่งที่ไม่มีกฎหมายรองรับให้ทำการ ที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 190 บัญญัติว่า “พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งและให้ผู้พิพากษาและตุลาการพ้นจากตำแหน่ง” นั้น มีเจตนารมณ์เพื่อคุ้มครองความเป็นอิสระของผู้พิพากษาในทางส่วนตัว เพื่อให้ผู้พิพากษามั่นใจได้ว่า การแต่งตั้งโยกย้าย และการให้พ้นจากตำแหน่ง หรือพ้นจากราชการ ต้องเป็นไปโดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และกฎหมาย เนื่องจากต้องนำความกราบบังคมทูลพระมหากษัตริย์
ดังนั้น กรณีนี้ประธานศาลฎีกาจึงไม่อาจนำการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมได้
นอกจากนี้ กรณีดังกล่าวสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ยังเคยทักท้วงมาถึง 2 ครั้ง โดยครั้งแรกทักท้วงว่า กรณีการให้ตนพ้นจากราชการดังกล่าว ไม่ใช่เป็นการนำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงทราบ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 และส่งเรื่องคืนสำนักงานศาลยุติธรรม ส่วนครั้งที่ 2 สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี มีหนังสือถึงสำนักงานศาลยุติธรรม ถามว่าจะให้ตนพ้นจากราชการตามกฎหมายมาตราใด
"ประธานศาลฎีกาบอกว่าพ้นโดยปริยาย ตามกฎหมายมันไม่มี หน่วยงานอื่นจะให้ลูกจ้างสักคนออกจากตำแหน่งยังต้องมีกฎหมาย นี่จะให้ผู้พิพากษาพ้นจากตำแหน่งก่อนครบอายุ 70 ปี โดยไม่มีกฎหมายให้อำนาจเลย จะทำได้อย่างไร เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ คนลงนามสนองพระบรมราชโองการ คือท่านนายกรัฐมนตรี ฉะนั้นถ้าหากมีการกระทำที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ แล้วมีการนำความขึ้นกราบบังคมทูล ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ก็ต้องรับผิดชอบต่อการกระทำนั้นด้วย"
นายชำนาญ กล่าวว่า การที่ประธานศาลฎีกา ยืนยันให้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พ้นจากราชการ ทั้งที่มีข้อทักท้วงของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ถึง 2 ครั้ง ถือเป็นการจงใจกระทำการขัดต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมาย และละเมิดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 6 จึงขอให้ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยว่า การกระทำของประธานศาลฎีกา ที่ออกคำสั่งให้ตนพ้นจากราชการเพื่อรับบำเหน็จบำนาญ เป็นการขัด หรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 และ พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ. 2543 มาตรา 32 และการที่นำความกราบบังคมทูลเพื่อให้ทรงมีพระบรมราชโองการให้นายชำนาญ พ้นจากราชการ โดยขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมาย เป็นการละเมิดรัฐธรรมนูญ มาตรา 6