ปิดฉากสัปดาห์นี้...เพื่อให้อะไรต่างๆ มันดูเบาๆ สบายๆ ขึ้นมามั่ง คงต้องขออนุญาตหันไปลอกเลียนแบบอาจารย์ “โรม บุนนาค” คอลัมนิสต์มือฉกาจของเว็บไซต์ “ผู้จัดการ” ของหมู่เฮานี่แหละ ที่ทำเอาบรรดาผู้อ่าน “เสพติด” กันแบบงอมๆ แงมๆ รวมทั้ง “ทับทิม พญาไท” เองก็ด้วย คือลองไปนำเอาเรื่องราวในอดีต หรือเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ มาลองพลิกหน้า-พลิกหลังกันดู...
นั่นก็คือเรื่องราวการต่อสู้เพื่อเอาชนะโรคระบาด ของประเทศจีนเค้าตั้งแต่เมื่อยุคศตวรรษที่แล้ว หรือช่วงประมาณปลายๆ ปี ค.ศ. 1910 หรือต้น ค.ศ. 1911 โน่นเลย ที่นักเขียนอเมริกันและสิงคโปร์ ศาสตราจารย์ “Wayne Soon” แห่งวิทยาลัย Vassar ในอเมริกา และศาสตราจารย์ “Ja Ian Chong” แห่งมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ เขาได้นำมาเล่าสู่กันฟังไว้ในเว็บไซต์ข่าว “The Diplomat” เมื่อช่วงกลางเดือนกุมภาฯ ที่ผ่านมา ซึ่งออกจะมีอะไรที่คล้ายกัน เหมือนกันกับการต่อสู้เพื่อเอาชนะโรคไข้หวัดอู่ฮั่น หรือเชื้อไวรัส “COVID-19” ของประเทศจีนยุคนี้ มิใช่น้อย...
สำหรับโรคระบาดคราวนั้น...เป็นที่รู้จักกันในนาม “โรคระบาดแมนจูเรีย” (The Manchurian Plague) ที่ว่ากันว่าแพร่ออกมาจากสัตว์ประเภท “กระรอก” ไม่ใช่ “ค้างคาว” ผสมกับ “งู” เหมือนกับโรคระบาดช่วงนี้ จากนั้นก็ค่อยวิวัฒนาการไปแบบ “จากคน-สู่-คน” โดยเพียงแค่ช่วงต้นๆ ของการระบาด ก็เล่นเอาคนตายไปเป็นหมื่นๆ หรือกว่าจะ “เอาอยู่” ก็ต้องเซ่นสังเวยชีวิตมนุษย์ไม่ว่าชาวจีน หรือชาวต่างประเทศไม่น้อยไปกว่า 60,000 คน เอาเลยถึงขั้นนั้น อีกทั้งในช่วงนั้น...ประเทศจีน หรือรัฐบาลจีน ก็คงไม่ได้ยิ่งใหญ่เกรียงไกร ไม่เพียงแต่ไม่ได้มีฐานะเป็น “มหาอำนาจ” ใดๆ แม้แต่น้อย ยังถูกบรรดาชาติมหาอำนาจทั้งหลาย ไม่ว่าอังกฤษ อเมริกา ฝรั่งเศส รัสเซีย ไปจนแม้กระทั่งญี่ปุ่น เหยียบเอาไว้ในอุ้งตีน ฝ่าตีน ชนิดแทบไม่อาจหือรืออะไรได้เลย หรือยุคเดียวกันกับที่มีการประกาศเขตพื้นที่ปกครองพิเศษสำหรับชาวต่างชาติในเมืองจีนไปเป็นหย่อมๆ อันเป็นพื้นที่มีการปักป้ายประกาศเอาไว้ทำนองว่า “สุนัขและคนจีนห้ามเข้า” อะไรประมาณนั้น...
ดังนั้น...เมื่อเกิดโรคระบาดแมนจูเรียปะทุขึ้นมา รัฐบาลจีนหรือรัฐบาลของราชวงศ์ชิง ก็เลยหนีไม่พ้นต้องถูกกด ถูกบีบ ถูกตำหนิติติง ด่าว่า ด่าทอ จากบรรดามหาอำนาจผู้มีอำนาจอิทธิพลอยู่ในเมืองจีนทั้งหลายไปตามสภาพ ส่งผลให้รัฐบาลจีนต้องไปควานหาผู้ที่มีศักยภาพ มีขีดความสามารถในการรับมือกับโรคระบาดชนิดนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล ซึ่งผู้นั้นก็คือชาวจีนเกิดที่ปีนัง แต่กลับไปปักหลักฐานอยู่ในแผ่นดินแม่ จนเติบโตขึ้นมาเป็นแพทย์สมัยใหม่ ผ่านการศึกษาวิทยาการจากตะวันตก หรือจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ชื่อว่า “นายWu Lien-teh” ที่ได้งัดเอามาตรการ นโยบาย และกรรมวิธีต่างๆ ในการรับมือกับโรคระบาดแมนจูเรีย ในแบบที่แทบไม่ต่างอะไรไปจากการรับมือกับโรคระบาดอู่ฮั่นของรัฐบาลจีนในทุกวันนี้นั่นเอง...
คือพร้อมที่จะปิดบ้าน ปิดเมือง ขีดวงกำหนดเขตควบคุม ป้องกัน การแพร่ระบาดของเชื้อโรค ไม่ไหลทะลัก หลุดรอด ลุกลามไปสู่พื้นที่อื่นๆ กันเป็นชั้นๆ แยกผู้ติดเชื้อออกมากักตัวเอาไว้ ในสถานพยาบาลที่เร่งระดมสร้างเอาไว้รองรับผู้ป่วย ผู้ติดเชื้อ กันไปเป็นจุดๆ แม้ไม่ถึงกับกว้างขวาง ใหญ่โตมโหฬาร หรือไม่สามารถเนรมิตรได้ภายในช่วงระยะเวลา 10 วัน เหมือนอย่างรัฐบาลจีนยุคนี้ก็ตาม แต่ก็พอรับมือกับฉากสถานการณ์ในช่วงนั้นได้เป็นอย่างดี ส่วนผู้ต้องสงสัยว่าอาจติดเชื้อถูกสั่งให้ต้องอยู่ภายในบ้าน ห้ามไม่ให้ไปไหนต่อไหนโดยเด็ดขาด สำหรับใครที่ต้องตายไปเพราะโรคระบาดชนิดนี้ ก็สั่งห้ามไม่ให้ “ฝัง” ตามขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวจีนอีกต่อไปแล้ว แต่ให้หันมา “เผา” กันแทนที่ การไปมาหาสู่ หรือการเดินทางต่างๆ ถูกจำกัดและควบคุมโดยเคร่งครัด แม้แต่บุคลากรทางการแพทย์ที่ถูกระดมมาช่วยรับมือโรคระบาดครั้งนี้ ก็ถูกสั่งให้ต้องสวมหน้ากากปิดปาก ปิดจมูก กันโดยตลอด ฯลฯ ฯลฯ หรือพูดง่ายๆ ก็คือ...ได้งัดเอามาตรการ “คุมเข้ม” แบบสุดๆ แบบที่อาจเรียกๆ ว่า “เผด็จการ” หรืออาจถูกกล่าวหาว่า “ล่วงละเมิดสิทธิมนุษยชน” มาใช้เป็นเครื่องมือ ในการระงับยับยั้ง หรือการเอาชนะโรคระบาดชนิดนี้ โดยไม่ถึงกับต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์ หรือถูกกล่าวหามากมายสักเท่าไหร่ อาจเพราะรัฐบาลจีนช่วงนั้นคือรัฐบาลสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ไม่ใช่รัฐบาลคอมมิวนิสต์เหมือนช่วงนี้ อะไรทำนองนั้น...
อีกทั้งด้วยความเป็นผู้ผ่านการศึกษา การเรียนรู้ มาจากสังคมตะวันตก นักต่อสู้เพื่อเอาชนะโรคระบาดอย่างนายแพทย์ “Wu Lien-teh” แกเลยพร้อมที่จะเปิดกว้าง แสวงหาความร่วมมือ-ร่วมใจ จากบรรดาผู้เชี่ยวชาญในระดับนานาชาติ เชิญบรรดานักวิทยาศาสตร์เก่งๆ ในระดับโลก มาร่วมประชุม ถกเถียง อภิปราย หาทางออก ทางแก้ปัญหากันอย่างเป็นระบบ และอย่างโปร่งใสไม่ได้คิดจะปกปิดข้อมูล ไม่ได้คิดซุกๆ ซ่อนๆ อะไรเอาไว้ใต้พรม ใต้เกล็ดมังกรเอาเลยแม้แต่น้อย และด้วยการคุมเข้มแบบเผด็จการ บวกกับความเปิดกว้าง โปร่งใส ที่ถูกนำมาผสมกันจนลงตัวนั่นเอง ภายในช่วงปี ค.ศ. 1920 หรือหลังการแพร่เชื้อโรคระบาดของแมนจูเรียประมาณ 1 ปี รัฐบาลราชวงศ์ชิงในขณะนั้น ก็สามารถ “เอาอยู่” ได้อย่างน่าทึ่ง น่าประทับใจ เอามากๆ...
ส่วนรัฐบาล “สี จิ้นผิง” ที่ไม่ว่าจะเป็นราชวงศ์ หรือไม่ใช่ราชวงศ์ก็แล้วแต่...ก็คงต้องยอมรับอย่างไม่อาจปฏิเสธได้นั่นแหละว่า ภายในกำแพงเมืองจีน หรือประเทศจีนทุกวันนี้ เริ่มทำท่าว่าน่าจะ “เอาอยู่” ขึ้นมามั่งแล้ว สำหรับการรับมือกับโรคระบาดอู่ฮั่น หรือกับเชื้อไวรัส “COVID-19” ในขณะที่ส่วนอื่นๆ ของโลกยังต้องมะงุมมะงาหรา ต้องมั่วไป-มั่วมา ตัวเลขจำนวนคนเจ็บ คนตาย คนติดเชื้อ ชักมาแรงแซงโค้ง แทนที่จีนกันไปเป็นรายๆ จะด้วยเหตุเพราะไม่อาจ “คุมเข้ม” ได้แบบเผด็จการเบ็ดเสร็จ ประเภทปิดบ้าน ปิดเมือง ห้ามใครเข้า-ใครออก หรือถึงกับใช้ “เครื่องบินโดรน” ออกลาดตระเวน คอยสอดส่องดูแล ไม่ให้บรรดาชาวจีนในพื้นที่ควบคุม ป้องกันออกมาเพ่นพ่านนอกบ้านโดยไม่จำเป็น จนถูกชาวตะวันตกหรือบรรดาประเทศเสรีนิยมทั้งหลายกล่าวหาว่าเป็นการ “ล่วงละเมิดสิทธิมนุษยชน” อะไรทำนองนั้น หรือจะด้วยความพร้อมที่จะเปิดกว้าง โปร่งใส พร้อมที่จะร่วมมือกับประชาคมนานาชาติ โดยไม่คิดปกปิด ซุกซ่อนสิ่งใดๆ เอาไว้ใต้ม่านไม้ไผ่เหมือนแต่ก่อน หรือเหมือนยุค “สงครามเย็น” ที่ผ่านพ้นมานานแล้ว ชนิดอาจต้องถือเป็นจีนยุคใหม่ รูปแบบใหม่ แถมยังอาศัย “ทุนนิยม” ที่แตกต่างไปจากทุนนิยมเดิมๆ หรือที่เรียกๆ กันว่า “ทุนนิยมเผด็จการ” อะไรทำนองนั้น มาใช้เป็นตัวขับเคลื่อน เชื่อมโยงประเทศตัวเองกับโลกทั้งโลก ได้อย่าง “ลงตัว” เอามากๆ...
ภายใต้ความสำเร็จในทางเศรษฐกิจ การเมือง การทหาร หรือแม้แต่การเอาชนะเชื้อโรค ฯลฯ ของรัฐบาลเผด็จการ หรือรัฐบาลคอมมิวนิสต์จีน เท่าที่พอปรากฏให้เห็นอยู่ในทุกวันนี้ มันจึงก่อให้เกิด “คำถาม” หรือ “ข้อสงสัย” กันเป็นจำนวนไม่น้อย ต่อบรรดาประเทศต่างๆ ตลอดไปทั่วทั้งโลก ว่าเอาเข้าจริงๆ แล้ว...ระบอบการเมือง-การปกครอง ไปจนถึงระบบเศรษฐกิจ แบบไหนกันแน่ๆ!!! ที่เป็นสิ่งซึ่งสอดคล้อง เหมาะสมกับ “โลกยุคใหม่” หรือยุคที่ “ระบอบประชาธิปไตยเสรี” อันเคยเป็นสิ่งที่สูงส่ง วิเศษวิเสโสมาโดยตลอด มันชักไม่ใช่เป็นประชาธิปไตยของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชนยิ่งเข้าไปทุกที แต่กลับเป็นประชาธิปไตยของพ่อค้า โดยพ่อค้า และเพื่อพ่อค้า โดยเฉพาะพ่อค้าในระดับโลก หรือระดับบรรษัทข้ามชาติทั้งหลาย???