ไปๆ-มาๆ...บรรดาพวกฝรั่งยุโรป อเมริกา ชักเริ่มออกอาการ “หูแหก-ตาแหก” ต่อเรื่องเชื้อไวรัสโคโรนา หรือ “COVID-19” ขึ้นมามั่งแล้ว หลังจากจำนวนผู้ติดเชื้อ ผู้เสียชีวิตด้วยโรคระบาดชนิดนี้ ชักมาแรงแซงโค้ง พุ่งพรวดๆ พราดๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ฝรั่งเศสนั้นเห็นว่า...ปาเข้าไปประมาณ 100 ราย เยอรมนีประมาณ 117 ราย รวมๆ แล้วทั่วทั้งยุโรป จำนวนผู้ติดเชื้อโดยแน่ชัดน่าจะไม่ต่ำไปกว่า 1,128 ราย ส่วนผู้ตายอยู่ที่ประมาณ 29 ราย ตามตัวเลขอย่างเป็นทางการเมื่อช่วงวันเสาร์ที่ 29 ก.พ. ที่ผ่านมา...
ส่วนอเมริกาที่ผู้นำประเทศอย่าง “ทรัมป์บ้า” ออกมาป่าวประกาศยืนหยัด ยืนยัน ว่า “เอาอยู่” นั้น...แม้จำนวนผู้ติดเชื้อจะยังไม่ถึงหลักร้อย ประมาณ 60-70 ราย แต่ก็เด๊ดสะมอเร่ อิน เดอะ เท่งทึง ไปแล้ว 1 ราย ส่งผลให้บรรดาชาวอเมริกันชนที่ไม่คิดจะ “ออกลูกเป็นลิง” หรือไม่คิดจะเชื่อ “ทรัมป์บ้า” เริ่ม “หูแหก-ตาแหก” อย่างเป็นกิจการพอสมควร ชนิดเรียกได้ว่า...ร้านค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต แถบลอสแองเจลิส แคลิฟอร์เนีย แทบไม่เหลือสินค้าประเภทน้ำ อาหาร กระดาษชำระ ฯลฯ ติดเอาไว้บนแผงเอาเลยก็ว่าได้ เพราะถูกชาวอเมริกากวาดเอาไปตุนซะเกลี้ยง...
ข่าวคราวเรื่องไวรัสโคโรนา...ที่กำลังส่งผลให้โลกทั้งโลก ออกอาการ “หูแหก-ตาแหก” ได้โดยถ้วนหน้า หรืออย่างเสมอหน้าไปทั่วกันทั้งหมด แม้ถือเป็น “ข่าวร้าย” หรือข่าวในแง่ “ลบ” ก็ตาม แต่ถ้าลองมองให้เป็นแง่ “บวก” เข้าไว้ ก็น่าจะมีอะไรที่พอมองได้อยู่บ้างเหมือนกัน เช่น มันได้ทำให้โลกๆ นี้กลายเป็น “โลกใบเดียวกัน” อย่างเห็นได้โดยชัดเจน เพราะไม่ว่าจะเป็นโลกรวย โลกจน โลกเหนือ โลกใต้ โลกที่พัฒนาแล้ว หรือกำลังพัฒนา ต่างมีสิทธิติดเชื้อไปด้วยกันทั้งนั้น แถมยังทำให้ “ความแตกต่าง” ในเรื่องระบบการเมือง การปกครอง ไปจนถึงลีลาทางเศรษฐกิจ ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ควรจะหยิบยกมาใช้เป็น “เงื่อนไข-ข้ออ้าง” ในการป้องกัน กีดกัน การมุ่งเอาแพ้ เอาชนะกันอีกต่อไป เพราะไม่ว่าประเทศเผด็จการคอมมิวนิสต์ ประเทศประชาธิปไตยเสรี ทุนนิยมเสรี หรือทุนนิยมเผด็จการ ต่างก็มีสิทธิ “โกวิท” (COVID-19) ไปด้วยกันทั้งสิ้น...
เนื่องจากไวรัสโคโรนาตัวนี้...มันแทบไม่ได้สนใจความแตกต่างดังกล่าวเอาเลยแม้แต่นิด ยิ่งเป็นประเทศประชาธิปไตยเสรี ทุนนิยมเสรีด้วยแล้ว ยิ่งมีโอกาสติดเชื้อ มีโอกาสตายได้ยิ่งขึ้นไปเท่านั้น เนื่องจากไม่อาจนำเอา “กลไก” ในการควบคุมบังคับมาใช้กันได้ถนัดๆ แบบบรรดาประเทศเผด็จการทั้งหลาย ที่สามารถปิดบ้าน ปิดเมือง ปิดประเทศ ไม่เปิดโอกาสให้ใครต่อใครออกไปไหนต่อไหน จนไม่เพียงแต่ช่วยคุ้มครอง ป้องกัน ผู้คนพลเมืองภายในประเทศตัวเองแต่เพียงเท่านั้น แต่ยังมีส่วนช่วยให้โลกทั้งโลก พลอยได้ลดๆ จำนวนผู้ติดเชื้อ จำนวนผู้ตายลงไปได้มั่งไม่มากก็น้อย...
พูดง่ายๆ ว่า...ถ้าหากคอมมิวนิสต์จีน หรือรัฐบาลจีน เขาไม่คิดสั่งปิดเมือง “อู่ฮั่น” เอาไว้แต่แรก ไม่ว่าจะด้วยความเสียดม เสียดาย ต่อเรื่องเงินๆ ทองๆ แบบพวกทุนนิยมเสรีทั้งหลาย หรือเอาแต่มุ่งจะให้ “GDP” ของประเทศที่กำลังเซื่องๆ หงอยๆ ยังพอรักษาระดับโตๆ ต่อไปได้ตามปกติ หรือไม่อยากให้ใครต่อใครโดยเฉพาะประเทศตะวันตกกล่าวหาว่า “ละเมิดสิทธิมนุษยชน” ของผู้คนภายในประเทศตัวเอง ฯลฯ ป่านนี้...จำนวนผู้ติดเชื้อในระดับโลก อาจปาเข้าไปเป็นล้านๆ หรือสิบๆ ล้าน แบบครั้งที่เคยเกิดการแพร่ระบาด “ไข้หวัดหมู” (H1N1) ในอเมริกา ช่วงปี ค.ศ. 2009 เอาเลยก็ไม่แน่!!! ส่วนจำนวนคนตาย ก็อาจปาเข้าไปเป็นหมื่นๆ แสนๆ หรืออาจหนักยิ่งไปกว่านั้น ก็แล้วแต่จะไปจินตนาการกันเอาเอง...
แต่ด้วยความเป็น “เผด็จการ” ของรัฐบาลจีนนั่นเอง...ไม่เพียงแต่มีส่วนช่วยลดจำนวนผู้ติดเชื้อ ผู้ตายในระดับโลก ประสิทธิภาพและประสิทธิผล ในการควบคุม ป้องกัน โรคระบาดคราวนี้ ที่ทำให้ตัวเลขต่างๆ ค่อยๆ ทรง ค่อยๆ ลดน้อยถอยลงไปตามลำดับ ยังอาจต้องนำเอามาเป็น “ตัวอย่าง” หรือเป็น “ต้นแบบ” ในการรับมือโรคระบาด ที่มันแทบไม่ได้สนใจว่าใครเป็นคอมมิวนิสต์ ใครเป็นประชาธิปไตยเสรี ขอเพียงแต่ให้เป็นมนุษย์อุจจาระเหม็นเท่านั้นเอง ก็สามารถถูกเล่นงาน ถูกโจมตี ตาม “สิทธิของเชื้อโรค” ได้อย่างอิสระและเสรี อย่างถ้วนหน้า หรืออย่างเสมอหน้าไปด้วยกันทั้งหมด...
และด้วยผลกระทบ ผลข้างเคียง จากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาคราวนี้...ก็น่าจะยิ่งทำให้โลกทั้งโลก หนีไม่พ้นต้องรีบหันมาร่วมมือ ร่วมใจ ในการรับมือต่อสิ่งซึ่งกำลังตามมาอยู่แล้วแน่ๆ นั่นก็คือ “ภาวะเศรษฐกิจ” ของโลกทั้งโลก ที่กำลังเริ่มปรากฏสัญญาณแห่ง “ความถดถอย” ชัดเจนยิ่งเข้าไปทุกที ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ที่ปักหัวดิ่งครั้งแล้ว ครั้งเล่า ไม่ต่างไปจากตลาดหุ้นทั่วทั้งโลกที่แดงพรืดไปทั้งกระดาน ราคาน้ำมันที่หล่นวูบตกจากหอคอย่น ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม บริการ การเดินทาง ฯลฯ ไปจนการถูกตัดขาดจาก “ห่วงโซ่แห่งอุปทาน” ของผลิตภัณฑ์ต่างๆ สิ่งเหล่านี้ย่อมก่อให้เกิดอาการ “เจ๊ง” กันไปทั่วทั้งโลกได้ไม่ยากส์ส์ส์นอกซะจากต้องหันมาร่วมมือ ร่วมใจกันในระดับโลก ไม่ว่าในการต่อสู้เพื่อเอาชนะเชื้อโรค หรือการรับมือกับภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจที่กำลังจะตามมา...
อันนี้นี่แหละ...ที่อาจถือเป็นมุมองในแง่ “บวก” ได้บ้าง โดยเฉพาะสำหรับประเทศใดๆ ก็ตาม ที่ยังพอหลงเหลือ “สติ” ติดปลายนวมไว้แม้แต่นิดๆ ก็ยังดี เพราะถ้ายังมัวเอาแต่โกรธ เกลียด เคียดแค้น อาฆาต พยาบาท และริษยา อย่างไม่คิดจะลด-ละ-เลิก โอกาสที่จะเจ๊งกันไปทั้งโลก หรือฉิบหายไปด้วยกันทั้งโลก ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ แต่ก็อย่างว่านั่นแหละ...สำหรับประเทศที่อภิมหานักวิชาการบ้านเรา อาจารย์ “ปราโมทย์ นาครทรรพ” ท่านเคยบรรยายเอาไว้ว่า “ด้วยเหตุเพราะประเทศนี้มันมีกรรม...จึงได้ทรัมป์มาเป็นนายขายหน้าเอย” โอกาสที่จะเกิด “สติ” ขึ้นมามั่งแม้แต่เล็กๆ น้อยๆ หรือไม่ถึงกับ “บ้า” แบบผู้นำโดยเบ็ดเสร็จสมบูรณ์ ดูท่าทาง...มันไม่น่าจะถึงกับง่ายกันสักเท่าไหร่นัก...
เพราะเมื่อวัน-สองวันมานี่เอง...ขณะที่จำนวนผู้ติดเชื้อ ผู้ตาย เพราะโรคระบาดชักทำท่าว่าจะสูงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่ในยุโรปและอเมริกา รัฐมนตรีต่างประเทศอเมริกา “นายไมค์ ปอมเปโอ” กลับหันไป “ป้ายขี้” ให้กับประเทศคู่แข่ง คู่กัด อย่างจีนและอิหร่านไปซะนี่!!! หาว่า “ปกปิดข้อมูล” ทั้งๆ ที่สิ่งเหล่านี้ นอกจากแทบไม่ได้ช่วยให้อะไรในโลกนี้ดีขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย กลับส่งผลให้เกิดความน่าเกลียด น่าทุเรศ ต่อความเป็นอเมริกาหนักยิ่งขึ้นไปอีก เพราะทุกวันนี้...เด็กอิหร่านที่ล้มตายกันไปเป็นร้อยๆ พันๆ ไม่ใช่เพราะโรคระบาดเท่านั้น แต่เพราะการ “แซงชั่น” ของอเมริกา ที่สั่งห้ามใครต่อใคร ไม่ให้ขายยา อาหาร ฯลฯ ให้กับประเทศอิหร่านโดยเด็ดขาด ความโกรธ เกลียด เคียดแค้น อาฆาต พยาบาท และริษยาของอเมริกา จึงแทบไม่ต่างอะไรไปจาก “เชื้อไวรัส” อีกชนิดหนึ่ง ที่เผลอๆ...อาจน่าเกลียด น่ากลัว น่าทุเรศซะยิ่งกว่า “COVID-19” เอาเลยก็ไม่แน่!!!