หากบอกว่าการชุมนุมของบรรดาเด็กๆ นักเรียน นักศึกษาที่ผ่านมาเป็นการชุมนุมของบรรดากลุ่ม“แฟนคลับ”ที่เชียร์ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ชื่นชม นายปิยบุตร แสงกนกกุล และน.ส.พรรณิการ์ วานิช อดีตแกนนำของพรรคอนาคตใหม่ เป็นไอดอล ก็อาจจะไม่ผิดนัก เพราะจุดเริ่มต้นมาจากความไม่พอใจที่พรรคอนาคตใหม่ถูกยุบ และอดีตแกนนำพรรคดังกล่าวเหล่านั้นถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองเป็นเวลานานถึง 10 ปี
โดยคนพวกนี้ไม่สนใจหรอกว่าสาเหตุมาจากความผิดอะไร ไม่อ่าน ไม่ทำความเข้าใจในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่อธิบายว่า ทำไมถึงต้องยุบพรรคจากความผิดกรณีเงินกู้ยืม จำนวน 191.2 ล้านบาท นั้นมีความผิดกฎหมายประเภทไหน และผิดมาตราอะไรบ้าง พวกเขามีความเชื่อแต่เพียงว่าเป็นเรื่องเผด็จการรังแกพรรคอนาคตใหม่ของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ร่ำรวยถึงขนาดมีเงินให้กู้กับพรรคโดยที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน
**คำถามก็คือ แบบนี้มันผิดปกติหรือไม่ คำถามก็คือเขาคนนี้มีความหมายเป็น “เจ้าของพรรค”หรือไม่ และ“ครอบงำพรรค”หรือไม่ ต้องตั้งสติตอบคำถามตรงนี้ก่อน ว่าใช่หรือไม่ !!
ขณะเดียวกัน สิ่งที่สังคมไม่น้อยตั้งข้อสังเกตก็คือ สังคมไทยยังต้องการพรรคการเมืองแบบนี้อยู่หรือไม่ หรือมองผ่านไป ตราบใดที่นายธนาธร เป็นหัวหน้าพรรคนี้ หรือแม้ว่าก่อนหน้านี้จะถือหุ้นสื่อบริษัทวี-ลัค มีเดีย จำกัด (ที่ประกอบกิจการสื่อมวลชน) ก็ได้หรือไม่ ที่ผิดเพราะถูกเผด็จการกลั่นแกล้ง ถูกพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เป็นอดีตหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กลั่นแกล้งอย่างงั้นหรือ
อย่างไรก็ดี จะว่าไปแล้วทุกเรื่องที่แดงออกมาจนบานปลายอย่างที่เห็น ก็อย่างที่รับรู้กันทั่วก็คือ เป็นตัวเองเป็นคนเปิดเผยออกมาเอง อาจเป็นเพราะต้องการ“โชว์”โดยไร้ประสบการณ์ แต่เมื่อพลาดไปแล้วก็คงโทษใครไม่ได้ นอกจากต้อง“ตีอกชกตัวเอง”เท่านั้น
นั่นคือแบ็กกราวด์ที่อธิบายความเป็นมาในแบบคร่าวๆ ถึงอารมณ์และการเคลื่อนไหวชุมนุมของบรรดาเด็กๆ นักเรียน นักศึกษาที่ออกมาเคลื่อนไหวชุมนุมในลักษณะ“แฟลชม็อบ” ซึ่งเท่าที่พิจารณาจะเห็นว่ามาจากความไม่พอใจที่พรรคการเมือง และแกนนำพรรคที่ตัวเองชื่นชอบถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรค เนื่องจากมีความผิดจากกรณีเงินกู้อันมิชอบ แต่พวกเขาถูกทำให้เข้าใจว่าเป็นฝีมือของพวกเผด็จการ“กลั่นแกล้ง” ประกอบกับการถูกปลุกระดม โน้มน้าวมาจากอดีตแกนนำพรรคเหล่านั้นให้ออกมาเคลื่อนไหวคัดค้าน
ประกอบกับหากสังเกตให้ดีจะพบเห็นได้ไม่ยากว่า บรรดาผู้เข้าร่วมชุมนุมที่ยืนอยู่ข้างหลังเวทีแทบทั้งหมดก็เป็นผู้สนับสนุนพรรคอนาคตใหม่ทั้งสิ้น หรือแม้แต่บรรดานักศึกษาที่เป็นแกนนำขึ้นเวทีปราศรัยโจมตีศาล โจมตีฝ่ายรัฐบาลที่ตระเวนเดินสายไปในแทบทุกเวที ก็ล้วนเป็นคนหน้าเดิมที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี เพราะเคลื่อนไหวกับแกนนำพรรคอนาคตใหม่ และพรรคฝ่ายค้าน จนไม่แน่ว่าพวกเขาได้สมาชิกพรรคอนาคตใหม่ในอดีตด้วยหรือไม่ คนพวกนี้ไม่ต้องเอ่ยชื่อ ก็ย่อมจะคุ้นหน้า คุ้นชื่อกันดีอยู่แล้ว
แน่นอนว่าบรรดาเด็กๆ ส่วนใหญ่หรือแทบทั้งหมดล้วนมีความชื่นชอบ ศรัทธาบรรดาอดีตแกนนำพรรคอนาคตใหม่ อาจจะชื่นชอบบุคลิก คำพูดหรือแนวทางในแบบคนรุ่นใหม่ จนบางครั้งอาจถูกมองว่าไม่ต่างจากการ “คลั่งไคล้ดารา”หรือ เป็น “แฟนคลับ”ที่พร้อมจะสนับสนุนทุกเรื่อง ไม่มองเรื่องการทำผิดกฎหมายหรือไม่
**อย่างไรก็ดี จะว่าไปแล้วทุกอย่างกำลังจะไปได้สวย สามารถสร้างกระแสจนสั่นสะท้านได้เหมือนกัน จนเกิดการกระหยิ่ม ยิ้มย่องว่า “จุดติดแล้ว”หรือ เหมือนกับที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ พูดออกมาอย่างย่ามใจว่า เหมือน"ไฟลามทุ่ง"แล้ว อะไรประมาณนี้ แต่เมื่อเกิดเหตุกรณีมี นิสิตจุฬาลงกรณ์คนหนึ่ง “ชักธงดำ”ทำให้ทุกอย่างสะดุดกึกไปทันทีทันใด ไฟที่กำลังลุกลาม ก็มอดลงแบบในชั่วข้ามคืนเหมือนกัน
เพราะแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวทำให้สังคมต่างวิจารณ์กันในทางลบอย่างรุนแรง แม้จะพยายามออกแถลงการณ์แก้ต่างอย่างไร ก็แทบจะไม่มีน้ำหนัก เพราะถือว่าไม่เหมาะสม อีกทั้งเมื่อสืบค้นแบ็กกราวด์ของนิสิตคนดังกล่าว ก็รู้ทันทีว่ามีการเคลื่อนไหวกับใคร เป็นพวกเดียวกับแกนนำอดีตพรรคอนาคตใหม่หรือไม่ เพียงแค่นี้ก็ทำลายความชอบธรรม ลดทอนน้ำหนักลงไปได้อักโข
ประกอบกับมันเป็นช่วงที่เกิดโรคระบาดจากไวรัสโควิด-19 ทำให้ไฟทุกอย่างไม่อาจเดินหน้าได้ เพราะเชื่อว่าไม่มีใครกล้าเสี่ยงออกมาในที่ชุมนุมมีคนแออัดจำนวนมากแน่นอน
นอกเหนือจากนี้ เมื่อพิจารณาจากท่าทีของฝ่ายรัฐบาลแล้วก็ยังไม่ยอม“ตกหลุม”ไม่สร้างเงื่อนไข ในทางตรงกันข้ามกลับเห็นว่าเป็นสิทธิเสรีภาพที่ทำได้ ตราบใดที่ยังไม่ได้ทำผิดกฎหมาย นั่นคือยังไม่ลงถนน
** แต่ถึงอย่างไร นาทีนี้ถือว่าทุกอย่างได้เริ่มมอดลงไปแล้ว แม้ว่าความไม่พอใจ และการสร้างกระแสความไม่พอใจยังมีอยู่เหมือนเดิม แต่จากองค์ประกอบข้างต้นมันไม่เป็นใจ มันก็ต้องฝ่อลงไปก่อนชั่วคราว ก็ต้องรอเชื้อไฟใหม่ให้ปะทุขึ้นมา แต่ก็ต้องลุ้นกันว่าจะเข้าทางเมื่อไหร่กันแน่ !!
โดยคนพวกนี้ไม่สนใจหรอกว่าสาเหตุมาจากความผิดอะไร ไม่อ่าน ไม่ทำความเข้าใจในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่อธิบายว่า ทำไมถึงต้องยุบพรรคจากความผิดกรณีเงินกู้ยืม จำนวน 191.2 ล้านบาท นั้นมีความผิดกฎหมายประเภทไหน และผิดมาตราอะไรบ้าง พวกเขามีความเชื่อแต่เพียงว่าเป็นเรื่องเผด็จการรังแกพรรคอนาคตใหม่ของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ร่ำรวยถึงขนาดมีเงินให้กู้กับพรรคโดยที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน
**คำถามก็คือ แบบนี้มันผิดปกติหรือไม่ คำถามก็คือเขาคนนี้มีความหมายเป็น “เจ้าของพรรค”หรือไม่ และ“ครอบงำพรรค”หรือไม่ ต้องตั้งสติตอบคำถามตรงนี้ก่อน ว่าใช่หรือไม่ !!
ขณะเดียวกัน สิ่งที่สังคมไม่น้อยตั้งข้อสังเกตก็คือ สังคมไทยยังต้องการพรรคการเมืองแบบนี้อยู่หรือไม่ หรือมองผ่านไป ตราบใดที่นายธนาธร เป็นหัวหน้าพรรคนี้ หรือแม้ว่าก่อนหน้านี้จะถือหุ้นสื่อบริษัทวี-ลัค มีเดีย จำกัด (ที่ประกอบกิจการสื่อมวลชน) ก็ได้หรือไม่ ที่ผิดเพราะถูกเผด็จการกลั่นแกล้ง ถูกพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เป็นอดีตหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กลั่นแกล้งอย่างงั้นหรือ
อย่างไรก็ดี จะว่าไปแล้วทุกเรื่องที่แดงออกมาจนบานปลายอย่างที่เห็น ก็อย่างที่รับรู้กันทั่วก็คือ เป็นตัวเองเป็นคนเปิดเผยออกมาเอง อาจเป็นเพราะต้องการ“โชว์”โดยไร้ประสบการณ์ แต่เมื่อพลาดไปแล้วก็คงโทษใครไม่ได้ นอกจากต้อง“ตีอกชกตัวเอง”เท่านั้น
นั่นคือแบ็กกราวด์ที่อธิบายความเป็นมาในแบบคร่าวๆ ถึงอารมณ์และการเคลื่อนไหวชุมนุมของบรรดาเด็กๆ นักเรียน นักศึกษาที่ออกมาเคลื่อนไหวชุมนุมในลักษณะ“แฟลชม็อบ” ซึ่งเท่าที่พิจารณาจะเห็นว่ามาจากความไม่พอใจที่พรรคการเมือง และแกนนำพรรคที่ตัวเองชื่นชอบถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรค เนื่องจากมีความผิดจากกรณีเงินกู้อันมิชอบ แต่พวกเขาถูกทำให้เข้าใจว่าเป็นฝีมือของพวกเผด็จการ“กลั่นแกล้ง” ประกอบกับการถูกปลุกระดม โน้มน้าวมาจากอดีตแกนนำพรรคเหล่านั้นให้ออกมาเคลื่อนไหวคัดค้าน
ประกอบกับหากสังเกตให้ดีจะพบเห็นได้ไม่ยากว่า บรรดาผู้เข้าร่วมชุมนุมที่ยืนอยู่ข้างหลังเวทีแทบทั้งหมดก็เป็นผู้สนับสนุนพรรคอนาคตใหม่ทั้งสิ้น หรือแม้แต่บรรดานักศึกษาที่เป็นแกนนำขึ้นเวทีปราศรัยโจมตีศาล โจมตีฝ่ายรัฐบาลที่ตระเวนเดินสายไปในแทบทุกเวที ก็ล้วนเป็นคนหน้าเดิมที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี เพราะเคลื่อนไหวกับแกนนำพรรคอนาคตใหม่ และพรรคฝ่ายค้าน จนไม่แน่ว่าพวกเขาได้สมาชิกพรรคอนาคตใหม่ในอดีตด้วยหรือไม่ คนพวกนี้ไม่ต้องเอ่ยชื่อ ก็ย่อมจะคุ้นหน้า คุ้นชื่อกันดีอยู่แล้ว
แน่นอนว่าบรรดาเด็กๆ ส่วนใหญ่หรือแทบทั้งหมดล้วนมีความชื่นชอบ ศรัทธาบรรดาอดีตแกนนำพรรคอนาคตใหม่ อาจจะชื่นชอบบุคลิก คำพูดหรือแนวทางในแบบคนรุ่นใหม่ จนบางครั้งอาจถูกมองว่าไม่ต่างจากการ “คลั่งไคล้ดารา”หรือ เป็น “แฟนคลับ”ที่พร้อมจะสนับสนุนทุกเรื่อง ไม่มองเรื่องการทำผิดกฎหมายหรือไม่
**อย่างไรก็ดี จะว่าไปแล้วทุกอย่างกำลังจะไปได้สวย สามารถสร้างกระแสจนสั่นสะท้านได้เหมือนกัน จนเกิดการกระหยิ่ม ยิ้มย่องว่า “จุดติดแล้ว”หรือ เหมือนกับที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ พูดออกมาอย่างย่ามใจว่า เหมือน"ไฟลามทุ่ง"แล้ว อะไรประมาณนี้ แต่เมื่อเกิดเหตุกรณีมี นิสิตจุฬาลงกรณ์คนหนึ่ง “ชักธงดำ”ทำให้ทุกอย่างสะดุดกึกไปทันทีทันใด ไฟที่กำลังลุกลาม ก็มอดลงแบบในชั่วข้ามคืนเหมือนกัน
เพราะแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวทำให้สังคมต่างวิจารณ์กันในทางลบอย่างรุนแรง แม้จะพยายามออกแถลงการณ์แก้ต่างอย่างไร ก็แทบจะไม่มีน้ำหนัก เพราะถือว่าไม่เหมาะสม อีกทั้งเมื่อสืบค้นแบ็กกราวด์ของนิสิตคนดังกล่าว ก็รู้ทันทีว่ามีการเคลื่อนไหวกับใคร เป็นพวกเดียวกับแกนนำอดีตพรรคอนาคตใหม่หรือไม่ เพียงแค่นี้ก็ทำลายความชอบธรรม ลดทอนน้ำหนักลงไปได้อักโข
ประกอบกับมันเป็นช่วงที่เกิดโรคระบาดจากไวรัสโควิด-19 ทำให้ไฟทุกอย่างไม่อาจเดินหน้าได้ เพราะเชื่อว่าไม่มีใครกล้าเสี่ยงออกมาในที่ชุมนุมมีคนแออัดจำนวนมากแน่นอน
นอกเหนือจากนี้ เมื่อพิจารณาจากท่าทีของฝ่ายรัฐบาลแล้วก็ยังไม่ยอม“ตกหลุม”ไม่สร้างเงื่อนไข ในทางตรงกันข้ามกลับเห็นว่าเป็นสิทธิเสรีภาพที่ทำได้ ตราบใดที่ยังไม่ได้ทำผิดกฎหมาย นั่นคือยังไม่ลงถนน
** แต่ถึงอย่างไร นาทีนี้ถือว่าทุกอย่างได้เริ่มมอดลงไปแล้ว แม้ว่าความไม่พอใจ และการสร้างกระแสความไม่พอใจยังมีอยู่เหมือนเดิม แต่จากองค์ประกอบข้างต้นมันไม่เป็นใจ มันก็ต้องฝ่อลงไปก่อนชั่วคราว ก็ต้องรอเชื้อไฟใหม่ให้ปะทุขึ้นมา แต่ก็ต้องลุ้นกันว่าจะเข้าทางเมื่อไหร่กันแน่ !!