เมืองไทย 360 องศา
ต้องบอกว่าเกือบไปแล้วเชียวสำหรับ “แฟลซม็อบ” ของบรรดาเด็กๆนักเรียน นักศึกษาจากหลายสถาบันการศึกษาที่ออกมาชุมนุมพร้อมๆกัน หรือต่อเนื่องกันไป ในตอนนั้นหลายคนมั่นใจว่าน่าจะบานปลายกลายเป็น “ไฟลามทุ่ง” หรือเรียกว่า “จุดติด”แล้ว อะไรประมาณนั้น
แน่นอนว่าหากพิจารณากันแบบตรงไปตรงมาก็ต้องบอกว่าเด็กๆพวกนี้ที่ออกมาส่วนใหญ่ถูกเรียกว่าเป็น “คนรุ่นใหม่”หรือเด็กรุ่นใหม่ และส่วนใหญ่อีกเหมือนกันก็เป็นพวกที่สนับสนุนพรรคอนาคตใหม่ มีความชื่นชอบแนวทางและบุคลิกการเคลื่อนไหวของแกนนำของอดีตพรรคอนาคตใหม่ ไม่ว่าจะเป็น นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นายปิยบุตร แสงกนกกุล รวมไปถึง น.ส.พรรณิการ์ วานิช เป็นต้น บรรดานักเรียน นักศึกษาพวกนี้หากไม่ปฏิเสธความจริงก็ต้องบอกว่าพวกเขาเป็น “แฟนคลับ” ของพรรคอนาคตใหม่ ชื่นชอบแกนนำที่ว่านั้นเป็น “ไอดอล” นั่นแหละ ขณะเดียวกันหากสังเกตให้ดีจะพบว่ามีคนรุ่นใหญ่ ที่มีทั้งวัยกลางคน ที่เคยเป็นสมาชิกพรรคและเคยเคลื่อนไหวกับพรรคอนาคตใหม่ หรือแม้แต่ตัวแกนนำของนักศึกษาบางคนที่เดินสายขึ้นเวทีในที่ชุมนุมก็ล้วนเคยเคลื่อนไหวร่วมกันอย่างต่อเนื่อง จนอาจเรียกว่าเป็นสมาชิกพรรคด้วยก็อาจเป็นได้
ขณะเดียวกันเรื่องการเรียกร้องเสรีภาพ หรือเรื่องกล่าวหาเผด็จการสืบทอดอำนาจ หรือว่าการโหยหาประชาธิปไตย นั้นน่าจะเป็นเรื่องตามมาหลังจากที่พรรคอนาคตใหม่ถูกยุบไป จนสร้างความไม่พอใจให้กับพวกเขา เนื่องจากเชื่อว่า หรือถูกโน้มน้าวให้เชื่อว่า พรรคอนาคตใหม่ไม่ได้รับความเป็นธรรม เป็นผลพวงมาจากอำนาจเผด็จการสืบทอดอำนาจทำให้เกิดการยุบพรรคดังกล่าว
ทั้งที่อีกมุมหนึ่งเป็นเพราะคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญที่พิจารณาตามหลักฐาน และความผิดที่เกิดขึ้นจากความจริงในคดีเงินกู้ที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ปล่อยกู้ให้กับพรรคที่ตัวเองเป็นหัวหน้าพรรค จำนวนที่มีการระบุถึง 191.2 ล้านบาท ซึ่งมีการเปิดเผยขึ้นมาเพราะเจ้าตัวเป็นคนพูดขึ้นมาเอง และในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญก็มีการอธิบายถึงความผิดอย่างชัดเจนว่าผิดกฎหมายอะไรและผิดมาตราไหนบ้าง แต่เชื่อว่าหลายคนไม่เคยสนใจ แต่เชื่อว่า นายธนาธร กับพวกที่พวกเขาชื่นชอบไม่ได้รับความเป็นธรรม ถึงขนาดกล่าวหาคำตัดสินในคดีดังกล่าวถูกชี้นำเสียอีก
อย่างไรก็ดีในรายละเอียดเกี่ยวกับคดีก็ยังสามารถถกเถียงกันได้ในทางวิชาการที่สามารถมองกันได้หลายมุม แต่ถึงอย่างไรในเมื่อมีคำพิพากษาออกมาแล้วแม้จะไม่พอใจก็ต้องยอมรับ
ขณะเดียวกันการเคลื่อนไหวของ บรรดาเด็กๆ นักเรียน นักศึกษาเหล่านี้ หากพิจารณากันแบบไม่ซับซ้อน มันก็เหมือนกับการถูกปลุกเร้าจากอดีตแกนนำพรรคอนาคตใหม่ดังกล่าว รวมไปถึงบรรดาอาจารย์มหาวิทยาลัยบางคนที่ฉวยจังหวะจากความไม่ชอบใจระบบสังคมในปัจจุบันผสมโรงกันเข้ามา บวกกับการที่พรรคอนาคตใหม่ที่พวกเขามีความชื่นชอบถูกยุบในช่วงเวลาเดียวกัน ทุกอย่างจึงประดังประเดเข้ามาพร้อมๆกัน ในช่วงที่ในสภาที่พรรคร่วมฝ่ายค้านกำลังจะอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล และเป้าหมายหลักก็เป็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ทุกอย่างเหมือนกับมีแรงกดดันทั้งในและนอกสภาเข้าพร้อมๆกัน
แต่กลายเป็นว่าทุกอย่างไม่เป็นไปตามเป้าหมาย โดยเฉพาะเกมในสภาที่ฝ่ายค้านมีผลงานการอภิปรายที่ “น่าผิดหวัง” อย่างยิ่ง นั่นคือข้อมูลที่นำมาอภิปรายก็ล้วนเป็นข้อมูลเก่า ไม่ได้สร้างกระแสให้เกิดอารมณ์ร่วมให้กับชาวบ้านข้างนอก ไม่มีหมัดเด็ดหรือ “ใบเสร็จ” ที่นำมาแสดงให้เห็นจะจะกันได้เลย มิหนำซ้ำผลจากการอภิปรายในครั้งนี้ได้สร้างความแตกแยกแบบร้าวลึกระหว่างพรรคเพื่อไทยกับอดีตพรรคอนาคตใหม่ในแบบที่ยากจะประสานกันได้ ด้วยการที่ต่างฝ่ายต่างแฉโพยออกว่าอีกฝ่ายต่างก็ไปแอบเจรจาหรือ “ฮั้ว”กับฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายทหาร ที่สำคัญทำให้ลุกลามบานปลายมาที่ผู้สนับสนุนของแต่ละพรรคที่ออกมาตอบโต้กันอย่างดุเดือด
อย่างไรก็ดีแม้ว่าจะมีความขัดแย้งแบบร้าวลึกแบบนี้ก็ตาม แต่ล่าสุดก็ยังมีความพยายามประสานรอยร้าวกันใหม่ มีการรับปากกันว่าจะมีการร่วมกัน “เดินสายอภิปรายนอกสภา” ในเวลาอันใกล้นี้ คาดหมายกันว่าจะมาแบบคู่ขนานกับการเคลื่อนไหว “แฟลซม็อบ” ของพวกเด็กนักเรียน นักศึกษา ที่กำลังก่อตัวอยู่ในเวลานี้
แต่แม้ว่าทุกอย่างกำบังมีความพยายามปลุกเร้ากันอย่างเต็มที่และต่อเนื่องก็ตาม แต่เนื่องจากความขัดแย้งระหว่างแกนนำพรรคฝ่ายค้านด้วยกันดังกล่าวมันคงประสานกันสนิทยาก ภาพจึงไม่ต่างจากการ “ซ่อนดาบในรอยยิ้ม” ขณะเดียวกันบรรยากาศภายนอกเวลานี้ก็ไม่เป็นใจด้วยสภาพของโรคระบาดของ “ ไวรัสโควิท 19” ที่กำลังระบาดจนสร้างความตื่นตระหนกกันไปทั่วโลก มันก็ย่อมทำให้เกมเคลื่อนไหวต้องสะดุดลงไปมากเหมือนกัน เพราะคงไม่มีใครกล้าเสี่ยงแบบ “ยอมตายคาประชาธิปไตย” กันมากนัก โดยเฉพาะการออกมาชุมนุมกันมากๆ
ดังนั้นนาทีนี้ก็ต้องบอกว่าเกมนอกสภา ไม่ว่าจะเป็นแบบ “พลังบริสุทธิ์” ที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือถูกปลุกเร้าให้ออกมาถือว่า “เกือบจุดติด” ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะสังคมตั้งสติแล้วเพ่งมองเห็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะควรบางอย่างของพวกนักเรียน นักศึกษาบางคนที่ถือว่าเป็นพวกเดียวกันกับแกนนำอดีตพรรคอนาคตใหม่ ไม่ใช่พลังบริสุทธิ์แท้จริง เป็นพวก “ขาประจำ” ที่เห็นหน้าชินตาอยู่แล้ว
ประกอบกับความแตกแยกระแวงกันเองของพรรคฝ่ายค้านทำให้พลังขับเคลื่อนถดถอยลงไป อีกทั้งด้วยสถานการณ์โรคระบาดที่สร้างความหวาดกลัวไปทั่ว มันก็ยิ่งทำให้สะดุดลง อย่างน้อยก็ชั่วคราว ซาไปพักหนึ่ง !!