**ต้องบอกว่าเกือบไปแล้วเชียว สำหรับ “แฟลชม็อบ”ของบรรดาเด็กๆ นักเรียน นักศึกษา จากหลายสถาบันการศึกษาที่ออกมาชุมนุมพร้อมๆ กัน หรือต่อเนื่องกันไป ในตอนนั้นหลายคนมั่นใจว่า น่าจะบานปลายกลายเป็น “ไฟลามทุ่ง”หรือเรียกว่า “จุดติด”แล้ว อะไรประมาณนั้น
แน่นอนว่าหากพิจารณากันแบบตรงไปตรงมาก็ต้องบอกว่า เด็กๆพวกนี้ที่ออกมาส่วนใหญ่ถูกเรียกว่าเป็น“คนรุ่นใหม่”หรือเด็กรุ่นใหม่ และส่วนใหญ่อีกเหมือนกัน ก็เป็นพวกที่สนับสนุนพรรคอนาคตใหม่ มีความชื่นชอบแนวทางและบุคลิกการเคลื่อนไหวของแกนนำของอดีตพรรคอนาคตใหม่ ไม่ว่าจะเป็น นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นายปิยบุตร แสงกนกกุล รวมไปถึงน.ส.พรรณิการ์ วานิช เป็นต้น บรรดานักเรียน นักศึกษาพวกนี้หากไม่ปฏิเสธความจริงก็ต้องบอกว่า พวกเขาเป็น “แฟนคลับ”ของพรรคอนาคตใหม่ ชื่นชอบแกนนำที่ว่านั้นเป็น“ไอดอล”นั่นแหละ
แต่หากสังเกตให้ดีจะพบว่ามีคนรุ่นใหญ่ ที่มีทั้งวัยกลางคน ที่เคยเป็นสมาชิกพรรค และเคยเคลื่อนไหวกับพรรคอนาคตใหม่ หรือแม้แต่ตัวแกนนำของนักศึกษาบางคนที่เดินสายขึ้นเวทีในที่ชุมนุม ก็ล้วนเคยเคลื่อนไหวร่วมกันอย่างต่อเนื่อง จนอาจเรียกว่าเป็นสมาชิกพรรคด้วยก็อาจเป็นได้
ขณะเดียวกันเรื่องการเรียกร้องสิทธิ เสรีภาพ หรือเรื่องกล่าวหาเผด็จการสืบทอดอำนาจ หรือว่าการโหยหาประชาธิปไตย นั้นน่าจะเป็นเรื่องตามมาหลังจากที่พรรคอนาคตใหม่ถูกยุบไป จนสร้างความไม่พอใจให้กับพวกเขา เนื่องจากเชื่อว่า หรือถูกโน้มน้าวให้เชื่อว่า พรรคอนาคตใหม่ ไม่ได้รับความเป็นธรรม เป็นผลพวงมาจากอำนาจเผด็จการสืบทอดอำนาจ ทำให้เกิดการยุบพรรคดังกล่าว
ทั้งที่อีกมุมหนึ่งเป็นเพราะคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญที่พิจารณาตามหลักฐาน และความผิดที่เกิดขึ้นจากความจริงในคดีเงินกู้ที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ปล่อยกู้ให้กับพรรคที่ตัวเองเป็นหัวหน้าพรรค จำนวนที่มีการระบุถึง 191.2 ล้านบาท ซึ่งมีการเปิดเผยขึ้นมาเพราะเจ้าตัวเป็นคนพูดขึ้นมาเอง และในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ก็มีการอธิบายถึงความผิดอย่างชัดเจนว่า ผิดกฎหมายอะไร และผิดมาตราไหนบ้าง
** แต่เชื่อว่าหลายคนไม่เคยสนใจ แต่เชื่อว่านายธนาธร กับพวก ที่พวกเขาชื่นชอบไม่ได้รับความเป็นธรรม ถึงขนาดกล่าวหาคำตัดสินในคดีดังกล่าวถูกชี้นำเสียอีก
อย่างไรก็ดี ในรายละเอียดเกี่ยวกับคดีก็ยังสามารถถกเถียงกันได้ในทางวิชาการ ที่สามารถมองกันได้หลายมุม แต่ถึงอย่างไรในเมื่อมีคำพิพากษาออกมาแล้วแม้จะไม่พอใจก็ต้องยอมรับ
ขณะเดียวกันการเคลื่อนไหวของ บรรดาเด็กๆ นักเรียน นักศึกษาเหล่านี้ หากพิจารณากันแบบไม่ซับซ้อน มันก็เหมือนกับการถูกปลุกเร้าจากอดีตแกนนำพรรคอนาคตใหม่ดังกล่าว รวมไปถึงบรรดาอาจารย์มหาวิทยาลัยบางคน ที่ฉวยจังหวะจากความไม่ชอบใจระบบสังคมในปัจจุบันผสมโรงกันเข้ามา บวกกับการที่พรรคอนาคตใหม่ที่พวกเขามีความชื่นชอบถูกยุบในช่วงเวลาเดียวกัน ทุกอย่างจึงประดังประเดเข้ามาพร้อมๆ กัน ในช่วงที่ในสภาฯ ที่พรรคร่วมฝ่ายค้านกำลังจะอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล และเป้าหมายหลักก็เป็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ทุกอย่างเหมือนกับมีแรงกดดันทั้งในและนอกสภาฯ เข้าพร้อมๆ กัน
แต่กลายเป็นว่าทุกอย่างไม่เป็นไปตามเป้าหมาย โดยเฉพาะเกมในสภาฯ ที่ฝ่ายค้านมีผลงานการอภิปรายที่“น่าผิดหวัง”อย่างยิ่ง นั่นคือข้อมูลที่นำมาอภิปรายก็ล้วนเป็นข้อมูลเก่า ไม่ได้สร้างกระแสให้เกิดอารมณ์ร่วมให้กับชาวบ้านข้างนอก ไม่มีหมัดเด็ดหรือ “ใบเสร็จ”ที่นำมาแสดงให้เห็นจะจะกันได้เลย
มิหนำซ้ำผลจากการอภิปรายในครั้งนี้ได้สร้างความแตกแยกแบบร้าวลึกระหว่างพรรคเพื่อไทย กับอดีตพรรคอนาคตใหม่ ในแบบที่ยากจะประสานกันได้ ด้วยการที่ต่างฝ่ายต่างแฉโพยออกมาว่า อีกฝ่ายต่างก็ไปแอบเจรจาหรือ“ฮั้ว”กับฝ่ายรัฐบาล หรือฝ่ายทหาร ที่สำคัญทำให้ลุกลามบานปลายมาที่ผู้สนับสนุนของแต่ละพรรคที่ออกมาตอบโต้กันอย่างดุเดือด
**อย่างไรก็ดี แม้ว่าจะมีความขัดแย้งแบบร้าวลึกแบบนี้ก็ตาม แต่ล่าสุดก็ยังมีความพยายามประสานรอยร้าวกันใหม่ มีการรับปากกันว่า จะมีการร่วมกัน“เดินสายอภิปรายนอกสภา”ในเวลาอันใกล้นี้ คาดหมายกันว่า จะมาแบบคู่ขนานกับการเคลื่อนไหว“แฟลชม็อบ”ของพวกเด็กนักเรียน นักศึกษา ที่กำลังก่อตัวอยู่ในเวลานี้
แต่แม้ว่าทุกอย่างกำลังมีความพยายามปลุกเร้ากันอย่างเต็มที่ และต่อเนื่องก็ตาม แต่เนื่องจากความขัดแย้งระหว่างแกนนำพรรคฝ่ายค้านด้วยกันดังกล่าวมันคงประสานกันสนิทยาก ภาพจึงไม่ต่างจากการ “ซ่อนดาบในรอยยิ้ม” ขณะเดียวกันบรรยากาศภายนอกเวลานี้ก็ไม่เป็นใจด้วยสภาพของโรคระบาด “ไวรัสโควิด- 19”ที่กำลังระบาดจนสร้างความตื่นตระหนกกันไปทั่วโลก มันก็ย่อมทำให้เกมเคลื่อนไหวต้องสะดุดลง ไปมากเหมือนกัน เพราะคงไม่มีใครกล้าเสี่ยงแบบ “ยอมตายคาประชาธิปไตย” กันมากนัก โดยเฉพาะการออกมาชุมนุมกันมากๆ
ดังนั้น นาทีนี้ก็ต้องบอกว่าเกมนอกสภาฯ ไม่ว่าจะเป็นแบบ“พลังบริสุทธิ์”ที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือถูกปลุกเร้าให้ออกมา ถือว่า“เกือบจุดติด” ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะสังคมตั้งสติ แล้วเพ่งมองเห็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะไม่ควรบางอย่างของพวกนักเรียน นักศึกษาบางคน ที่ถือว่าเป็นพวกเดียวกันกับแกนนำอดีตพรรคอนาคตใหม่ ไม่ใช่พลังบริสุทธิ์แท้จริง แต่เป็นพวก“ขาประจำ”ที่เห็นหน้าชินตาอยู่แล้ว
**ประกอบกับความแตกแยกระแวงกันเองของพรรคฝ่ายค้าน ทำให้พลังขับเคลื่อนถดถอยลงไป อีกทั้งด้วยสถานการณ์โรคระบาดที่สร้างความหวาดกลัวไปทั่ว มันก็ยิ่งทำให้สะดุดลง อย่างน้อยก็ชั่วคราว ซาไปพักหนึ่ง !!
แน่นอนว่าหากพิจารณากันแบบตรงไปตรงมาก็ต้องบอกว่า เด็กๆพวกนี้ที่ออกมาส่วนใหญ่ถูกเรียกว่าเป็น“คนรุ่นใหม่”หรือเด็กรุ่นใหม่ และส่วนใหญ่อีกเหมือนกัน ก็เป็นพวกที่สนับสนุนพรรคอนาคตใหม่ มีความชื่นชอบแนวทางและบุคลิกการเคลื่อนไหวของแกนนำของอดีตพรรคอนาคตใหม่ ไม่ว่าจะเป็น นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นายปิยบุตร แสงกนกกุล รวมไปถึงน.ส.พรรณิการ์ วานิช เป็นต้น บรรดานักเรียน นักศึกษาพวกนี้หากไม่ปฏิเสธความจริงก็ต้องบอกว่า พวกเขาเป็น “แฟนคลับ”ของพรรคอนาคตใหม่ ชื่นชอบแกนนำที่ว่านั้นเป็น“ไอดอล”นั่นแหละ
แต่หากสังเกตให้ดีจะพบว่ามีคนรุ่นใหญ่ ที่มีทั้งวัยกลางคน ที่เคยเป็นสมาชิกพรรค และเคยเคลื่อนไหวกับพรรคอนาคตใหม่ หรือแม้แต่ตัวแกนนำของนักศึกษาบางคนที่เดินสายขึ้นเวทีในที่ชุมนุม ก็ล้วนเคยเคลื่อนไหวร่วมกันอย่างต่อเนื่อง จนอาจเรียกว่าเป็นสมาชิกพรรคด้วยก็อาจเป็นได้
ขณะเดียวกันเรื่องการเรียกร้องสิทธิ เสรีภาพ หรือเรื่องกล่าวหาเผด็จการสืบทอดอำนาจ หรือว่าการโหยหาประชาธิปไตย นั้นน่าจะเป็นเรื่องตามมาหลังจากที่พรรคอนาคตใหม่ถูกยุบไป จนสร้างความไม่พอใจให้กับพวกเขา เนื่องจากเชื่อว่า หรือถูกโน้มน้าวให้เชื่อว่า พรรคอนาคตใหม่ ไม่ได้รับความเป็นธรรม เป็นผลพวงมาจากอำนาจเผด็จการสืบทอดอำนาจ ทำให้เกิดการยุบพรรคดังกล่าว
ทั้งที่อีกมุมหนึ่งเป็นเพราะคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญที่พิจารณาตามหลักฐาน และความผิดที่เกิดขึ้นจากความจริงในคดีเงินกู้ที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ปล่อยกู้ให้กับพรรคที่ตัวเองเป็นหัวหน้าพรรค จำนวนที่มีการระบุถึง 191.2 ล้านบาท ซึ่งมีการเปิดเผยขึ้นมาเพราะเจ้าตัวเป็นคนพูดขึ้นมาเอง และในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ก็มีการอธิบายถึงความผิดอย่างชัดเจนว่า ผิดกฎหมายอะไร และผิดมาตราไหนบ้าง
** แต่เชื่อว่าหลายคนไม่เคยสนใจ แต่เชื่อว่านายธนาธร กับพวก ที่พวกเขาชื่นชอบไม่ได้รับความเป็นธรรม ถึงขนาดกล่าวหาคำตัดสินในคดีดังกล่าวถูกชี้นำเสียอีก
อย่างไรก็ดี ในรายละเอียดเกี่ยวกับคดีก็ยังสามารถถกเถียงกันได้ในทางวิชาการ ที่สามารถมองกันได้หลายมุม แต่ถึงอย่างไรในเมื่อมีคำพิพากษาออกมาแล้วแม้จะไม่พอใจก็ต้องยอมรับ
ขณะเดียวกันการเคลื่อนไหวของ บรรดาเด็กๆ นักเรียน นักศึกษาเหล่านี้ หากพิจารณากันแบบไม่ซับซ้อน มันก็เหมือนกับการถูกปลุกเร้าจากอดีตแกนนำพรรคอนาคตใหม่ดังกล่าว รวมไปถึงบรรดาอาจารย์มหาวิทยาลัยบางคน ที่ฉวยจังหวะจากความไม่ชอบใจระบบสังคมในปัจจุบันผสมโรงกันเข้ามา บวกกับการที่พรรคอนาคตใหม่ที่พวกเขามีความชื่นชอบถูกยุบในช่วงเวลาเดียวกัน ทุกอย่างจึงประดังประเดเข้ามาพร้อมๆ กัน ในช่วงที่ในสภาฯ ที่พรรคร่วมฝ่ายค้านกำลังจะอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล และเป้าหมายหลักก็เป็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ทุกอย่างเหมือนกับมีแรงกดดันทั้งในและนอกสภาฯ เข้าพร้อมๆ กัน
แต่กลายเป็นว่าทุกอย่างไม่เป็นไปตามเป้าหมาย โดยเฉพาะเกมในสภาฯ ที่ฝ่ายค้านมีผลงานการอภิปรายที่“น่าผิดหวัง”อย่างยิ่ง นั่นคือข้อมูลที่นำมาอภิปรายก็ล้วนเป็นข้อมูลเก่า ไม่ได้สร้างกระแสให้เกิดอารมณ์ร่วมให้กับชาวบ้านข้างนอก ไม่มีหมัดเด็ดหรือ “ใบเสร็จ”ที่นำมาแสดงให้เห็นจะจะกันได้เลย
มิหนำซ้ำผลจากการอภิปรายในครั้งนี้ได้สร้างความแตกแยกแบบร้าวลึกระหว่างพรรคเพื่อไทย กับอดีตพรรคอนาคตใหม่ ในแบบที่ยากจะประสานกันได้ ด้วยการที่ต่างฝ่ายต่างแฉโพยออกมาว่า อีกฝ่ายต่างก็ไปแอบเจรจาหรือ“ฮั้ว”กับฝ่ายรัฐบาล หรือฝ่ายทหาร ที่สำคัญทำให้ลุกลามบานปลายมาที่ผู้สนับสนุนของแต่ละพรรคที่ออกมาตอบโต้กันอย่างดุเดือด
**อย่างไรก็ดี แม้ว่าจะมีความขัดแย้งแบบร้าวลึกแบบนี้ก็ตาม แต่ล่าสุดก็ยังมีความพยายามประสานรอยร้าวกันใหม่ มีการรับปากกันว่า จะมีการร่วมกัน“เดินสายอภิปรายนอกสภา”ในเวลาอันใกล้นี้ คาดหมายกันว่า จะมาแบบคู่ขนานกับการเคลื่อนไหว“แฟลชม็อบ”ของพวกเด็กนักเรียน นักศึกษา ที่กำลังก่อตัวอยู่ในเวลานี้
แต่แม้ว่าทุกอย่างกำลังมีความพยายามปลุกเร้ากันอย่างเต็มที่ และต่อเนื่องก็ตาม แต่เนื่องจากความขัดแย้งระหว่างแกนนำพรรคฝ่ายค้านด้วยกันดังกล่าวมันคงประสานกันสนิทยาก ภาพจึงไม่ต่างจากการ “ซ่อนดาบในรอยยิ้ม” ขณะเดียวกันบรรยากาศภายนอกเวลานี้ก็ไม่เป็นใจด้วยสภาพของโรคระบาด “ไวรัสโควิด- 19”ที่กำลังระบาดจนสร้างความตื่นตระหนกกันไปทั่วโลก มันก็ย่อมทำให้เกมเคลื่อนไหวต้องสะดุดลง ไปมากเหมือนกัน เพราะคงไม่มีใครกล้าเสี่ยงแบบ “ยอมตายคาประชาธิปไตย” กันมากนัก โดยเฉพาะการออกมาชุมนุมกันมากๆ
ดังนั้น นาทีนี้ก็ต้องบอกว่าเกมนอกสภาฯ ไม่ว่าจะเป็นแบบ“พลังบริสุทธิ์”ที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือถูกปลุกเร้าให้ออกมา ถือว่า“เกือบจุดติด” ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะสังคมตั้งสติ แล้วเพ่งมองเห็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะไม่ควรบางอย่างของพวกนักเรียน นักศึกษาบางคน ที่ถือว่าเป็นพวกเดียวกันกับแกนนำอดีตพรรคอนาคตใหม่ ไม่ใช่พลังบริสุทธิ์แท้จริง แต่เป็นพวก“ขาประจำ”ที่เห็นหน้าชินตาอยู่แล้ว
**ประกอบกับความแตกแยกระแวงกันเองของพรรคฝ่ายค้าน ทำให้พลังขับเคลื่อนถดถอยลงไป อีกทั้งด้วยสถานการณ์โรคระบาดที่สร้างความหวาดกลัวไปทั่ว มันก็ยิ่งทำให้สะดุดลง อย่างน้อยก็ชั่วคราว ซาไปพักหนึ่ง !!