ก็ต้องถือว่าสำหรับพรรคเพื่อไทยในเวลานี้อยู่ในภาวะ “วิกฤติ”เหมือนอย่างที่ “หมอเลี๊ยบ”น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่ถือว่าเคยเป็นระดับ “วงใน”คนหนึ่งตั้งแต่ในยุคพรรคไทยรักไทย ก่อนจะกลายมาเป็นพรรคเพื่อไทยในทุกวันนี้
คำพูดของ น.พ.สุรพงษ์ ที่เพิ่งระบุออกมาล่าสุด สรุปรวมๆ ก็คือเวลานี้พรรคเพื่อไทยกำลังอยู่ในภาวะวิกฤต ซึ่งน่าจะเป็นภาวะวิกฤตภายในที่ “ขาดผู้นำ” ที่แท้จริง ทำให้การบริหารจัดการภายในพรรคและในสภาฯ ล้วนมีปัญหา ขณะเดียวกันก็ย่อมส่งผลไปถึงภายนอก นั่นคือสร้างภาวะเสื่อมศรัทธาให้กับประชาชนที่เฝ้ามองอยู่ รวมไปถึงบรรดาสมาชิกพรรคและผู้สนับสนุนพรรคที่เคยมีมานานก็ต้องถอยห่างออกไป
ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากสิ่งที่ปรากฏเป็นรูปธรรมให้เห็นชัดเจนก็คือ การเกิดภาวะ“งูเห่า”ภายในพรรคเพื่อไทย ที่มาจนถึงนาทีนี้ ถือว่ามีความเด่นชัด ล่าสุดจากการโหวตญัตติอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาล โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากผลโหวตรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ก็พบว่า มีส.ส.พรรคเพื่อไทย อย่าง 2 คน ที่“โหวตสวน”หันมายกมือสนับสนุนฝ่ายรัฐบาล และตามรายชื่อดังกล่าว ก็ต้องบอกว่ามีการโหวตสวนในลักษณะแบบนี้มาอย่างต่อเนื่อง
แม้ว่ากรณีที่เกิดขึ้นอาจจะเรียกว่า นี่คือ“งูเห่า”ในพรรคเพื่อไทย แต่ในทางการเมืองถือว่าการบริหารจัดการเกิดอาการ“รวน”อย่างชัดเจน ไม่สามารถบริหารจัดการได้อย่างมีเอกภาพ รวมไปถึงก่อนหน้านั้นในช่วงก่อน และระหว่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจฝ่ายรัฐบาล สังคมภายนอกก็พิสูจน์เห็นแล้วว่าขาดเอกภาพในการบริหารพรรค มีความขัดแย้งกันระหว่าง “กลุ่ม ก๊ก”ภายในพรรค ดังที่เกิดขึ้นระหว่างกลุ่มของ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ที่เป็นประธานยุทธศาสตร์ของพรรค กับฝ่ายของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ที่เป็นประธานคณะกรรมการฝ่ายกิจกรรมพิเศษ และทำหน้าที่ในการ“ติวเข้ม”หรือควบคุมข้อมูล และวางตัวผู้อภิปรายซักฟอกในครั้งนี้
แต่อย่างที่ได้เห็นกันก็คือ การอภิปรายของสมาชิกพรรคเพื่อไทยในสภาฯ ถือว่า “ไร้มาตรฐาน”ไม่มีหลักฐาน หรือที่เรียกว่า“ใบเสร็จ”หรือหมัดน็อกฝ่ายตรงข้ามได้เลย มีแต่สำนวนโวหาร ที่พูดจาน้ำท่วมทุ่ง บางคนได้เวลาอภิปรายถึง 2-3 ชั่วโมง แต่ไม่มีเนื้อหาให้ชวนติดตามได้เลย เพราะแทบทุกเรื่อง ล้วนเป็นเรื่องเก่า รวมไปถึงเรื่องที่นำมาอภิปรายก็ล้วน“ตกกระแส” ชาวบ้านลืมไปแล้ว หรือไม่มีอารมณ์ร่วม และเมื่อเปรียบเทียบกันระหว่างพรรคฝ่ายค้านด้วยกันกับพรรคอนาคตใหม่ ที่แม้ว่าไม่ได้มีความโดดเด่นอะไรนัก แต่ก็ยังถือว่าพรรคเพื่อไทยเป็นรองอย่างเห็นได้ชัด
**และที่สำคัญหลังการอภิปรายยังเกิดภาวะ“ปีนเกลียว”ระหว่างสองพรรคฝ่ายค้านดังกล่าวในแบบที่น้อยครั้งที่การเมืองไทยที่พันธมิตรฝ่ายค้านแตกแยก และ“สาวไส้”ออกมาในแบบที่มีการกล่าวหากันร้ายแรง นั่นคือถูกแฉว่าต่างฝ่ายต่างก็“แอบดีลลับกับเผด็จการ”อะไรแบบนี้ ซึ่งถือว่าร้ายแรง เพราะหากเป็นแบบนี้มันก็เหมือนกับ “ต้มคนดู”กล่าวหาโจมตีรัฐบาล โจมตีผู้นำกองทัพอยู่ตลอดเวลา แต่กลายเป็นว่า ตัวเองไปอี๋อ๋อแบบนี้ถือว่าไม่สวยงามแน่นอน
ขณะเดียวกัน เมื่อวกกลับมาโฟกัสกันเฉพาะพรรคเพื่อไทย ที่ถูกระบุว่า “ไร้หัว”ไม่มีผู้นำพรรคที่แท้จริง แม้ว่าเวลานี้จะมีหัวหน้าพรรคคือ นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ทำหน้าที่เป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร แต่กลายเป็นว่าภายในพรรคกลับมีความแตกแยกที่เด่นชัด ขาดการยอมรับซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะหัวหน้าพรรค “เอาไม่อยู่”บทบาทในสภาฯ ในช่วงที่ผ่านมาไม่สามารถสร้างบทบาทของพรรคให้มีความโดดเด่นให้สมกับเป็นพรรคฝ่ายค้านอันดับหนึ่งได้เลย ตรงกันข้ามบทบาทนำกลับตกไปอยู่กับพรรคระดับรองอย่าง อดีตพรรคอนาคตใหม่ ที่ถูกยุบไป รวมไปถึงแกนนำของพรรคดังกล่าวมาตลอด
แม้ว่าที่ผ่านมาจะพยายาม “กลบเกลื่อน”รอยร้าวภายในอยู่ตลอดเวลา พร้อมทั้งกล่าวโจมตีฝ่ายตรงข้ามตลอดเวลา ด้วยวาทกรรม“เผด็จการ”ขณะที่ตัวเองคือ “ฝ่ายประชาธิปไตย” อย่างไรก็ดีเมื่อมีรายการแฉโพยเกิดขึ้นระหว่าง “คนกันเอง”แบบนี้ออกมา มันก็ทำให้น้ำหนักข้อกล่าวหา และเครดิตลดลงอย่างฮวบฮาบ
** ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในพรรคเพื่อไทยเวลานี้ สภาพจึงไม่ต่างจากพรรคที่ “ไร้หัว”อย่างแท้จริง ไม่มีการยอมรับซึ่งกันและกัน ขณะเดียวกันสาเหตุสำคัญส่วนหนึ่งก็น่าจะมาจากเรื่องการ“ลอยแพ”ของ “นายใหญ่”ที่รับรู้กันมาตั้งนานแล้วว่า “ท่อน้ำเลี้ยง”ไม่ไหลมานานแล้ว และทำให้มีแนวโน้มในอนาคต จะมีส.ส.งูเห่า และมีส.ส.ที่จะแยกย้ายแตกทัพออกไปอีกไม่น้อย !!
คำพูดของ น.พ.สุรพงษ์ ที่เพิ่งระบุออกมาล่าสุด สรุปรวมๆ ก็คือเวลานี้พรรคเพื่อไทยกำลังอยู่ในภาวะวิกฤต ซึ่งน่าจะเป็นภาวะวิกฤตภายในที่ “ขาดผู้นำ” ที่แท้จริง ทำให้การบริหารจัดการภายในพรรคและในสภาฯ ล้วนมีปัญหา ขณะเดียวกันก็ย่อมส่งผลไปถึงภายนอก นั่นคือสร้างภาวะเสื่อมศรัทธาให้กับประชาชนที่เฝ้ามองอยู่ รวมไปถึงบรรดาสมาชิกพรรคและผู้สนับสนุนพรรคที่เคยมีมานานก็ต้องถอยห่างออกไป
ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากสิ่งที่ปรากฏเป็นรูปธรรมให้เห็นชัดเจนก็คือ การเกิดภาวะ“งูเห่า”ภายในพรรคเพื่อไทย ที่มาจนถึงนาทีนี้ ถือว่ามีความเด่นชัด ล่าสุดจากการโหวตญัตติอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาล โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากผลโหวตรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ก็พบว่า มีส.ส.พรรคเพื่อไทย อย่าง 2 คน ที่“โหวตสวน”หันมายกมือสนับสนุนฝ่ายรัฐบาล และตามรายชื่อดังกล่าว ก็ต้องบอกว่ามีการโหวตสวนในลักษณะแบบนี้มาอย่างต่อเนื่อง
แม้ว่ากรณีที่เกิดขึ้นอาจจะเรียกว่า นี่คือ“งูเห่า”ในพรรคเพื่อไทย แต่ในทางการเมืองถือว่าการบริหารจัดการเกิดอาการ“รวน”อย่างชัดเจน ไม่สามารถบริหารจัดการได้อย่างมีเอกภาพ รวมไปถึงก่อนหน้านั้นในช่วงก่อน และระหว่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจฝ่ายรัฐบาล สังคมภายนอกก็พิสูจน์เห็นแล้วว่าขาดเอกภาพในการบริหารพรรค มีความขัดแย้งกันระหว่าง “กลุ่ม ก๊ก”ภายในพรรค ดังที่เกิดขึ้นระหว่างกลุ่มของ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ที่เป็นประธานยุทธศาสตร์ของพรรค กับฝ่ายของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ที่เป็นประธานคณะกรรมการฝ่ายกิจกรรมพิเศษ และทำหน้าที่ในการ“ติวเข้ม”หรือควบคุมข้อมูล และวางตัวผู้อภิปรายซักฟอกในครั้งนี้
แต่อย่างที่ได้เห็นกันก็คือ การอภิปรายของสมาชิกพรรคเพื่อไทยในสภาฯ ถือว่า “ไร้มาตรฐาน”ไม่มีหลักฐาน หรือที่เรียกว่า“ใบเสร็จ”หรือหมัดน็อกฝ่ายตรงข้ามได้เลย มีแต่สำนวนโวหาร ที่พูดจาน้ำท่วมทุ่ง บางคนได้เวลาอภิปรายถึง 2-3 ชั่วโมง แต่ไม่มีเนื้อหาให้ชวนติดตามได้เลย เพราะแทบทุกเรื่อง ล้วนเป็นเรื่องเก่า รวมไปถึงเรื่องที่นำมาอภิปรายก็ล้วน“ตกกระแส” ชาวบ้านลืมไปแล้ว หรือไม่มีอารมณ์ร่วม และเมื่อเปรียบเทียบกันระหว่างพรรคฝ่ายค้านด้วยกันกับพรรคอนาคตใหม่ ที่แม้ว่าไม่ได้มีความโดดเด่นอะไรนัก แต่ก็ยังถือว่าพรรคเพื่อไทยเป็นรองอย่างเห็นได้ชัด
**และที่สำคัญหลังการอภิปรายยังเกิดภาวะ“ปีนเกลียว”ระหว่างสองพรรคฝ่ายค้านดังกล่าวในแบบที่น้อยครั้งที่การเมืองไทยที่พันธมิตรฝ่ายค้านแตกแยก และ“สาวไส้”ออกมาในแบบที่มีการกล่าวหากันร้ายแรง นั่นคือถูกแฉว่าต่างฝ่ายต่างก็“แอบดีลลับกับเผด็จการ”อะไรแบบนี้ ซึ่งถือว่าร้ายแรง เพราะหากเป็นแบบนี้มันก็เหมือนกับ “ต้มคนดู”กล่าวหาโจมตีรัฐบาล โจมตีผู้นำกองทัพอยู่ตลอดเวลา แต่กลายเป็นว่า ตัวเองไปอี๋อ๋อแบบนี้ถือว่าไม่สวยงามแน่นอน
ขณะเดียวกัน เมื่อวกกลับมาโฟกัสกันเฉพาะพรรคเพื่อไทย ที่ถูกระบุว่า “ไร้หัว”ไม่มีผู้นำพรรคที่แท้จริง แม้ว่าเวลานี้จะมีหัวหน้าพรรคคือ นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ทำหน้าที่เป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร แต่กลายเป็นว่าภายในพรรคกลับมีความแตกแยกที่เด่นชัด ขาดการยอมรับซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะหัวหน้าพรรค “เอาไม่อยู่”บทบาทในสภาฯ ในช่วงที่ผ่านมาไม่สามารถสร้างบทบาทของพรรคให้มีความโดดเด่นให้สมกับเป็นพรรคฝ่ายค้านอันดับหนึ่งได้เลย ตรงกันข้ามบทบาทนำกลับตกไปอยู่กับพรรคระดับรองอย่าง อดีตพรรคอนาคตใหม่ ที่ถูกยุบไป รวมไปถึงแกนนำของพรรคดังกล่าวมาตลอด
แม้ว่าที่ผ่านมาจะพยายาม “กลบเกลื่อน”รอยร้าวภายในอยู่ตลอดเวลา พร้อมทั้งกล่าวโจมตีฝ่ายตรงข้ามตลอดเวลา ด้วยวาทกรรม“เผด็จการ”ขณะที่ตัวเองคือ “ฝ่ายประชาธิปไตย” อย่างไรก็ดีเมื่อมีรายการแฉโพยเกิดขึ้นระหว่าง “คนกันเอง”แบบนี้ออกมา มันก็ทำให้น้ำหนักข้อกล่าวหา และเครดิตลดลงอย่างฮวบฮาบ
** ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในพรรคเพื่อไทยเวลานี้ สภาพจึงไม่ต่างจากพรรคที่ “ไร้หัว”อย่างแท้จริง ไม่มีการยอมรับซึ่งกันและกัน ขณะเดียวกันสาเหตุสำคัญส่วนหนึ่งก็น่าจะมาจากเรื่องการ“ลอยแพ”ของ “นายใหญ่”ที่รับรู้กันมาตั้งนานแล้วว่า “ท่อน้ำเลี้ยง”ไม่ไหลมานานแล้ว และทำให้มีแนวโน้มในอนาคต จะมีส.ส.งูเห่า และมีส.ส.ที่จะแยกย้ายแตกทัพออกไปอีกไม่น้อย !!