xs
xsm
sm
md
lg

เพื่อไทยวิกฤติไร้หัว “นายใหญ่”ลอยแพ !?

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง และ สมพงษ์ อมรวิวัฒน์
เมืองไทย 360 องศา



ก็ต้องถือว่าสำหรับพรรคเพื่อไทยในเวลานี้อยู่ในภาวะ “วิกฤติ” เหมือนอย่างที่ “หมอเลี๊ยบ” น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระรวงการคลังที่ถือว่าเคยเป็นระดับ “วงใน” คนหนึ่งตั้งแต่ในยุคพรรคไทยรักไทยก่อนจะกลายมาเป็นพรรคเพื่อไทยในทุกวันนี้

คำพูดของ น.พ.สุรพงษ์ ที่เพิ่งระบุออกมาล่าสุดสรุปรวมๆก็คือเวลานี้พรรคเพื่อไทยกำลังอยู่ในภาวะวิกฤติ ซึ่งน่าจะเป็นภาวะวิกฤติภายในที่ “ขาดผู้นำ”ที่แท้จริง ทำให้การบริหารจัดการภายในพรรคและในสภาล้วนมีปัญหา ขณะเดียวกันก็ย่อมส่งผลไปถึงภายนอกนั่นคือสร้างภาวะเสื่อมศรัทธาให้กับประชาชนที่เฝ้ามองอยู่รวมไปถึงบรรดาสมาชิกพรรคและผู้สนับสนุนพรรคที่เคยมีมานานก็ต้องถอยห่างออกไป

ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาจากสิ่งที่ปรากฏเป็นรูปธรรมให้เห็นชัดเจนก็คือการเกิดภาวะ “งูเห่า” ภายในพรรคเพื่อไทย ที่มาจนถึงนาทีนี้ถือว่ามีความเด่นชัด ล่าสุดจากการโหวตญัตติอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาล โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากผลโหวตรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลก็พบว่า มี ส.ส.พรรคเพื่อไทยอย่าง 2 คน ที่ “โหวตสวน” หันมายกมือสนับสนุนฝ่ายรัฐบาล และตามรายชื่อดังกล่าวก็ต้องบอกว่ามีการโหวตสวนในลักษณะแบบนี้มาอย่างต่อเนื่อง

แม้ว่ากรณีที่เกิดขึ้นอาจจะเรียกว่านี่คือ “งูเห่า” ในพรรคเพื่อไทย แต่ในทางการเมืองถือว่าการบริหารจัดการเกิดอาการ “รวน” อย่างชัดเจน ไม่สามารถบริหารจัดการได้อย่างมีเอกภาพ รวมไปถึงก่อนหน้านั้นในช่วงก่อนและระหว่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจฝ่ายรัฐบาล สังคมภายนอกก็พิสูจน์เห็นแล้วว่าขาดเอกภาพในการบริหารพรรค มีความขัดแย้งกันระหว่าง “กลุ่ม ก๊ก” ภายในพรรคดังที่เกิดขึ้นระหว่างกลุ่มของ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ที่เป็นประธานยุทธศาสตร์ของพรรค กับฝ่ายของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ที่เป็นประธานคณะกรรมการฝ่ายกิจกรรมพิเศษ และทำหน้าที่ในการ “ติวเข้ม” หรือควบคุมข้อมูลและวางตัวผู้อภิปรายซักฟอกในครั้งนี้

แต่อย่างที่ได้เห็นกันก็คือการอภิปรายของสมาชิกพรรคเพื่อไทยในสภาถือว่า “ไร้มาตรฐาน” ไม่มีหลักฐานหรือที่เรียกว่า “ใบเสร็จ”หรือหมัดน็อกฝ่ายตรงข้ามได้เลย มีแต่สำนวนโวหาร ที่พูดจาน้ำท่วมทุ่ง บางคนได้เวลาอภิปรายถึง 2-3 ชั่วโมง แต่ไม่มีเนื้อหาให้ชวนติดตามได้เลย เพราะแทบทุกเรื่องล้วนเป็นเรื่องเก่า รวมไปถึงเรื่องที่นำมาอภิปรายก็ล้วน “ตกกระแส” ชาวบ้านลืมไปแล้ว หรือไม่มีอารมณ์ร่วม และเมื่อเปรียบเทียบกันระหว่างพรรคฝ่ายค้านด้วยกันกับพรรคอนาคตใหม่ที่แม้ว่าไม่ได้มีความโดดเด่นอะไรนัก แต่ก็ยังถือว่าพรรคเพื่อไทยเป็นรองอย่างเห็นได้ชัด

และที่สำคัญหลังการอภิปรายยังเกิดภาวะ “ปีนเกลียว” ระหว่างสองพรรคฝ่ายค้านดังกล่าวในแบบที่น้อยครั้งที่การเมืองไทยที่พันธมิตรฝ่ายค้านแตกแยกและ “สาวไส้” ออกมาในแบบที่มีการกล่าวหากันร้ายแรงนั่นถูกแฉว่าต่างฝ่ายต่างก็ “แอบดีลลับกับเผด็จการ” อะไรแบบนี้ ซึ่งถือว่าร้ายแรง เพราะหากเป็นแบบนี้มันก็เหมือนกับ “ต้มคนดู” กล่าวหาโจมตีรัฐบาล โจมตีผู้นำกองทัพอยู่ตลอดเวลา แต่กลายเป็นว่าตัวเองไปอี๋อ๋อแบบนี้ถือว่าไม่สวยงามแน่นอน

ขณะเดียวกันเมื่อวกกลับมาโฟกัสกันเฉพาะพรรคเพื่อไทยที่ถูกระบุว่า “ไร้หัว” ไม่มีผู้นำพรรคที่แท้จริง แม้ว่าเวลานี้จะมีหัวหน้าพรรคคือ นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ทำหน้าที่เป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร แต่กลายเป็นว่าภายในพรรคกลับมีความแตกแยกที่เด่นชัด ขาดการยอมรับซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะหัวหน้าพรรค “เอาไม่อยู่” บทบาทในสภาในช่วงที่ผ่านมาไม่สามารถสร้างบทบาทของพรรคให้มีความโดดเด่นให้สมกับเป็นพรรคฝ่ายค้านอันดับหนึ่งได้เลย ตรงกันข้ามบทบาทนำกลับตกไปอยู่กับพรรคระดับรองอย่างอดีตพรรคอนาคตใหม่ที่ถูกยุบไป รวมไปถึงแกนนำของพรรคดังกล่าวมาตลอด

แม้ว่าที่ผ่านมาจะพยายาม “กลบเกลื่อน” รอยร้าวภายในอยู่ตลอดเวลา พร้อมทั้งกล่าวโจมตีฝ่ายตรงข้ามตลอดเวลา ด้วยวาทะกรรม “เผด็จการ” ขณะที่ตัวเองคือ “ฝ่ายประชาธิปไตย” อย่างไรก็ดีเมื่อมีรายการแฉโพยเกิดขึ้นระหว่าง “คนกันเอง” แบบนี้ออกมามันก็ทำให้น้ำหนักข้อกล่าวหา และเครดิตลดลงอย่างฮวบฮาบ

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในพรรคเพื่อไทยเวลานี้สภาพจึงไม่ต่างจากพรรคที่ “ไร้หัว” อย่างแท้จริง ไม่มีการยอมรับซึ่งกันและกัน ขณะเดียวกันสาเหตุสำคัญส่วนหนึ่งก็น่าจะมาจากเรื่องการ “ลอยแพ” ของ “นายใหญ่” ที่รับรู้กันมาตั้งนานแล้วว่า “ท่อน้ำเลี้ยง” ไม่ไหลมานานแล้ว และทำให้มีแนวโน้มในอนาคตจะมี ส.ส.งูเห่า และมี ส.ส.ที่จะแยกย้ายแตกทัพออกไปอีกไม่น้อย !


กำลังโหลดความคิดเห็น