ขนาด “สภาฯ” บ้านเราช่วงเมื่อวันวาน...ระหว่างกำลังพ่นแมงโม้กันอย่างเมามันส์ส์ส์ ออกรส ออกชาติ แต่จู่ๆ...ไม่ว่าฝ่ายค้าน ฝ่าย “อรุณร่วง” หรือฝ่ายรัฐบาล ฝ่าย “ดับสุริยา” ต่างต้องหันไปคว้า ไปควานหยิบเอา “หน้ากากอนามัย” มาปิดตะหมูก ปิดปาก จนแทบกลายเป็นมนุษย์อวกาศไปทั้งสภาฯ กันไปซะนี่!!! และคงไม่ใช่เพราะการเหม็นหน้า เหม็นปาก ฝ่ายตรงข้ามใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย แต่ด้วยเหตุเพราะความหวาดหวั่น ขวัญสยอง ต่อ “อาจารย์โกวิท” (COVID-19) รายเดียวแท้ๆ...
เรียกว่า...แค่พอได้ข่าวว่ามี “ส.ส.” บางรายที่เพิ่งเดินทางกลับจากฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น เกิดอาการครั่นเนื้อครั่นตัว ไม่สบาย หายใจไม่ค่อยสะดวก ฯลฯ แต่ยังอุตส่าห์โผล่เข้ามาประชุมสภาฯ ในช่วงการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลคราวนี้ ก็เล่นเอาบรรดาท่าน ส.ส.ร่วม 500 ในสภาผู้แทนราษฎร ออกอาการ “หูแหก-ตาแหก” กันไปพอสมควร ต้องหยิบเอาหน้ากากอนามัยออกมาสวม มาใส่ และเห็นว่า...ถึงขั้นต้อง “ฉีดยาฆ่าเชื้อ” ภายในอาคารรัฐสภาตั้งแต่หัวเช้า ก่อนจะจบการอภิปรายวันสุดท้ายไปพร้อมๆ กับความอกสั่นขวัญแขวนต่อฤทธิ์เดชของ “เชื้ออาจารย์โกวิท” ที่อาจน่าเกลียด น่ากลัว ซะยิ่งกว่า “นายกฯ บิ๊กตู่” ไปแล้วก็ไม่แน่!!! นี่...ปฏิกิริยาอาการต่อการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสของใครต่อใครในโลก ณ ช่วงนี้ ช่างเป็นอะไรที่ดุเดือดรุนแรง จนมิอาจ “ดูเบา” ได้เป็นเด็ดขาด...
ซึ่งก็เป็นที่แน่นอนนั่นแหละว่า...ภายใต้ “ความกลัว” ความ “หูแหก-ตาแหก” แถมบวกกับ “ความหวาดระแวง” ไปจนถึง “ความเป็นปฏิปักษ์” ฯลฯ ระหว่างผู้คนในโลก ที่หันมาเห็นแก่ “ผลประโยชน์แห่งชาติ” และ “ผลประโยชน์แห่งตัวกู-ของกู” เพิ่มขึ้นๆ ไปตามลำดับ การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส “COVID-19” ในช่วงนี้ มันจึงก่อให้เกิด “ความปั่นป่วน” ไปแทบจะทั่วทั้งโลกอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธ ยิ่งมีข่าวจำนวน “ผู้ติดเชื้อ” ผลุบๆ โผล่ๆ ขึ้นมาในแต่ละประเทศ ชนิดไม่เว้นแต่ละวัน เห็นว่า...ปาเข้าไป 30 กว่าๆ เกือบ 40 ประเทศไปแล้วในทุกวันนี้ ตัวเลขการติดเชื้อเขยิบขึ้นไปใกล้หลักแสนเข้าไปทุกที อาการ “panic” หรือ “หูแหก-ตาแหก” มันจึงขยายวงกว้างอย่างเป็นระลอก และย่อมนำมาซึ่ง “ผลกระทบ” จำนวนมหาศาล ไม่ว่าในทางการเมือง-เศรษฐกิจ หรือสังคมก็ตาม...
ยิ่งถ้าช่วงระยะเวลาแห่งการแพร่ระบาด...มันถูกทอดยาวออกไปเรื่อยๆ ก็ยังไม่มีใครที่พอ “จินตนาการ” ออก ว่า “ผลกระทบ” มันจะหนักหนารุนแรงไปถึงขั้นไหน??? เพียงแค่เฉพาะ “อุตสาหกรรมรถยนต์” ทั่วโลก ที่ว่ากันว่าต้องประสบความสูญเสียคิดเป็นตัวเงิน-ตัวทองไม่ต่ำกว่าวันละ 6 ล้านดอลลาร์ อันเนื่องมาจาก “ห่วงโซ่อุปทาน” หรือ “supply chain” ในเมืองจีน มันเกิดสะดุดหยุดยั้งขึ้นมาดื้อๆ ถ้าลองเอาช่วงระยะที่เริ่มเกิดการแพร่ระบาด ตั้งแต่ช่วงเดือนมกราคมปีนี้ ไปบวก-ลบ-คูณ-หาร กับช่วงระยะเวลาที่คาดๆ กันว่า การแพร่ระบาดอาจค่อยๆ ทุเลาลงมาบ้าง หรือการหวนกลับมาสู่ภาวะปกติ ที่อาจต้องยืดเยื้อ ยืดยาวไปราวๆ เดือนเมษายน หรือพฤษภาคมปีนี้ หรือรวมระยะเวลาไม่น่าจะต่ำกว่าสี่ซ้า-ห้าเดือน เดือนหนึ่งมีประมาณ 30 วัน ความสูญเสียมันจะปาเข้าไปซักกี่ร้อย กี่พันล้านดอลลาร์ ก็ลองไปคูณเอาเองก็แล้วกัน นี่แค่เฉพาะ “อุตสาหกรรมรถยนต์” เพียงรายเดียวเท่านั้น...
แต่ยังมีอุตสาหกรรมทอผ้า อุตสาหกรรมสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์ การท่องเที่ยว การบิน การคมนาคมขนส่ง ฯลฯ ฯลฯ และอะไรต่อมิอะไรที่ต้องตามมากันอีกเยอะ ชนิดโรงงานทอผ้าเวียดนามทอไม่ได้ ส่งมอบสินค้าแทบไม่ได้ เพราะ “ห่วงโซ่อุปทาน” ในจีนดันขาดสะบั้นขึ้นมาดื้อๆ งานฉลองในเมืองเวนิส อิตาลี เห็นว่าถูกเลื่อนกำหนดการไปแล้ว เช่นเดียวกับงานเฉลิมพระชนมพรรษาพระจักรพรรดิญี่ปุ่น ส่วนจะลุกลามไปถึงงานใหญ่ งานช้าง อย่างงาน “มหกรรมโอลิมปิก 2020” ที่ประเทศญี่ปุ่น หรือไม่ อย่างไร ก็ยังฟังไม่ชัด ฯลฯ แต่ที่แน่ๆ ก็คือ...บรรดา “เครื่องยนต์เศรษฐกิจ” ของโลกทั้งโลก ไม่ว่าเครื่องไหนต่อเครื่องไหนล้วนแต่ต้องหายใจติดขัด ต้องไอ ต้องจาม ต้องเหนื่อยๆ หอบๆ ไปด้วยกันทั้งสิ้น แม้แต่ผู้ที่คิด “พลิกวิกฤตเมืองจีน” ให้กลายเป็น “โอกาสของอเมริกา” อย่างคุณพ่ออเมริกาก็ตาม...
คือถึงผู้นำประเทศอย่างประธานาธิบดีอเมริกัน...จะต้องออกมา “ทวีต” ว่าสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้แบบ “อยู่หมัด” เพียงใดก็เถอะ แต่ถ้ามองถึงศักยภาพและขีดความสามารถ รวมทั้งความมุ่งมั่น ความพยายาม ในการเอาชนะโรคระบาดของผู้คนในอเมริกา เพียงแค่ลองเอาจำนวนผู้ติดเชื้อ จำนวนคนตาย จากเชื้อไวรัส “H1N1” หรือจาก “โรคระบาดไข้หวัดหมู” ในอเมริกาเมื่อช่วงปี ค.ศ. 2009 มาเทียบเคียงกับจำนวนผู้ติดเชื้อ จำนวนคนตาย จากเชื้อไวรัส “COVID-19” หรือ “ไข้หวัดอู่ฮั่น” ในเมืองจีนในช่วงระยะนี้ ก็ต้องเรียกว่า...ใครที่ยังคิดจะเชื่อผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” มีสิทธิออกลูกเป็นลิงเอาง่ายๆ เพราะระหว่างตัวเลขคนตายระดับ “หลักร้อย” ในเมืองจีน กับที่ตายไปในระดับ “หลักหมื่น” ในอเมริกา ด้วยการแพร่ระบาดของเชื้อโรคในลักษณะที่แทบไม่ได้แตกต่างไปจากกันมากมายสักเท่าไหร่นัก ก็น่าจะนำมาใช้เป็นหลักฐานข้อพิสูจน์ได้เป็นอย่างดี...
อีกทั้งถ้าหันไปฟังบรรดา “ผู้รู้-ผู้เชี่ยวชาญ” ไม่ว่าจากองค์กร “CDC” (The Center for Disease and Prevention) หรือผู้อำนวยการศูนย์ภูมิคุ้มกันและโรคทางเดินหายใจ “Dr.Nancy Messonnier” ที่ออกมาพูดถึงภาวะการแพร่ระบาดของเชื้อ “COVID-19” ในอเมริกาทุกวันนี้ ก็เรียกว่า...ออกไปทางคนละเรื่อง คนละม้วน กับผู้นำประเทศอย่างเห็นได้โดยชัดเจน และอาจด้วยเหตุนี้ จึงทำให้เมืองสำคัญๆ ในอเมริกา อย่างนครซานฟรานซิสโก เลยตัดสินใจประกาศ “ภาวะฉุกเฉิน” โดยไม่ต้องเสียเวลาไปฟังผู้นำอเมริกันอีกต่อไปแล้ว และทำให้การคิด “พลิกวิกฤตเมืองจีน” ให้กลายเป็น “โอกาสของอเมริกา” กลับน่าส่งผลออกไปทางตรงกันข้าม ชนิดที่ผู้บริหารระดับ “CEO” ของกองทุน “Euro Pacific” ของอเมริกาเอง อย่าง “นายPeter Schiff” กลับเห็นว่าแนวโน้มที่การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาตัวนี้ อาจกลายเป็นตัวทำให้ “อภิมหาฟองสบู่” ในระบบเศรษฐกิจอเมริกา เกิดการแตก การระเบิดขึ้นมาก่อนกำหนดการเอาเลยก็ไม่แน่!!!
ขณะที่หัวขบวนเศรษฐกิจโลกอย่างจีน คงต้องรอเวลาอีกประมาณ 2 เดือน 3 เดือน ถึงจะขับเคลื่อนเครื่องยนต์ได้แบบเต็มสูบ เต็มเม็ด เต็มหน่วย เหมือนอย่างที่เคยเป็นมาโดยปกติ เพราะแม้จะพยายามหา “จุดสมดุล” ในการเริ่มต้นกระบวนการผลิต กับการควบคุมโรคระบาดพร้อมกันไปในตัว แต่ก็ทำได้อยู่แค่ประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง และถ้าหัวขบวนเศรษฐกิจโลกอย่างอเมริกา พลอยต้องติดหวัด ต้องไอ ต้องจาม ขึ้นมาซะอีก ตามด้วยยุโรป ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไปจนถึงบราซิล ฯลฯ โน่นเลย ต่างไอ ต่างจาม ต่างหายใจไม่ค่อยสะดวกไปด้วยกันทั้งนั้น ประเทศเล็กๆ ที่ต้องพึ่งพาเศรษฐกิจโลกเกือบ 70-80 เปอร์เซ็นต์ อย่างประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา จะไปเหลืออะไร!!! โอกาสที่จะเกิดอาการ “หุ้นฟุบ-เศรษฐกิจพัง” เหมือนอย่างที่ “กูรู” ผู้รับประทาน “น้ำตาล” เป็นอาหารหลัก อย่างคุณพี่ “สุนันท์ ศรีจันทรา” ท่านได้สรุปไว้ในคอลัมน์ “จันทราท่าพระอาทิตย์” ชิ้นล่าสุด ย่อมมีโอกาสเป็นไปได้สูงเอามากๆ สิ่งที่ต้องเตรียมรับมือเอาไว้แต่เนิ่นๆ จึงไม่ใช่แค่พวก “ฝ่ายแค้น-ฝ่ายค้าน” พวก “อนาคตหมด-อนาคตไหม้” หรือพวก “นักศึกษา” ตามมหาวิทยาลัยเท่านั้น แต่ต้องระวัง “อาจารย์โกวิท” นั่นแหละเอาไว้ให้ดี...