“กทพ.-BEM” ร่วมลงนามในสัญญาแก้ไขสัมปทาน ขยายอายุสัมปทานทางด่วนทางด่วนขั้น 2 และด่วนบางปะอิน ให้ BEM อีก 15 ปี 8 เดือน เริ่ม 1 มี.ค.63 - 31 ต.ค.78 เซตซีโร่ข้อพิพาท มูลค่า 1.3 แสนล้านบาท เร่งดำเนินการถอนฟ้องทุกคดีให้แล้วเสร็จก่อนวันที่ 28 ก.พ.นี้ “ศักดิ์สยาม” การันตีสัญญาเป็นธรรม เล็งชง DSI หาคนรับผิดข้อพิพาท
วานนี้ (20 ก.พ.) เมื่อเวลา 17.20 น. นายสุรงค์ บูลกุล ประธานกรรมการ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ได้เป็นประธานในการลงนาม สัญญาโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 2 (ฉบับแก้ไข) และสัญญาโครงการทางด่วนสายบางปะอิน-ปากเกร็ด (ฉบับแก้ไข) ระหว่างการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) และบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM โดยมีนายดำเกิง ปานขำ รองผู้ว่าการฝ่ายปฏิบัติการ กทพ. ทำหน้าที่รักษาการผู้ว่าฯ กทพ. และ นายสุพงศ์ ชยุตสาหกิจ กรรมการบริหาร BEM และนางพเยาว์ มริตตนะพร กรรมการผู้จัดการ BEM เป็นผู้ร่วมลงนาม
ทั้งนี้จะเป็นการยุติข้อพิพาททั้ง 17 คดี ที่มีมูลค่าที่ 58,873 ล้านบาท โดยมีการต่อขยายสัญญาโครงการทางด่วน เป็นระยะเวลา 15 ปี 8 เดือน โดยจะทำให้สัญญาสัมปทานทางด่วนขั้นที่ 2 (ส่วน A ,B ,C )ทางด่วนขั้นที่ 2 ส่วน D และสัญญาโครงการทางด่วนสายบางปะอิน-ปากเกร็ด (C บวก) สิ้นสุดพร้อมกันในวันที่ 31 ต.ค.2578
โดยแบ่งเป็นคดีทางแข่งขัน 2 คดี ศาลปกครองสูงสุดตัดสินแล้ว 1 คดี ช่วงปี 2542-2543 ค่าชดเชย 4,318 ล้านบาท (ไม่รวมดอกเบี้ย), อีก 1 คดี ช่วงปี 2544-2561 อยู่ระหว่างพิพาท วงเงิน 74,590 ล้านบาท, คดีการไม่ปรับค่าผ่าทางตามสัญญา 11 คดี ตั้งแต่ปี 2546 ถึงปี 2561 (อยู่ในระหว่างพิพาทชั้นอนุญาโตตุลาการ 8 คดี (อนุญาโตตุลาการที่ชี้ว่า BEM ชนะ 2 คดี และศาลปกครองกลาง ตัดสิน ให้ BEM ชนะ 1 คดี) มีมูลค่าพิพาท 56,034 ล้านบาท, ส่วนที่เหลือเป็นคดีอื่นๆ มูลหนี้พิพาท 7,000 ล้านบาท โดยมี 1 คดีที่ กทพ.ชนะ คิดเป็นมูลหนี้ 491 ล้านบาท
ถอนฟ้องในทุกคดีก่อน 28 ก.พ.
นายสุรงค์ เปิดเผยว่า การลงนามในวันนี้ ถือเป็นการยุติข้อพิพาทตามแนวทางที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์สูงสุด โดยเป็นการยุติข้อพิพาทใน 3 กลุ่มที่มีมูลค่าข้อพิพาท 137,517 ล้านบาท โดยการขยายอายุสัมปทานให้แก่ BEM เป็นเวลา 15 ปี 8 เดือน ซึ่งนับจากวันนี้ทั้งสองฝ่ายจะร่วมมือกันในการดำเนินขั้นตอนการถอนฟ้องในทุกคดีให้เรียบร้อยภายในวันที่ 28 ก.พ.63 เพื่อให้สัญญามีผลบังคับใช้ต่อเนื่องจากสัญญาสัมปทานของทางด่วนขั้นที่ 2 ส่วน A B C ช่วงแจ้งวัฒนะ – อโศก – บางโคล่ จะหมดอายุลงวันที่ 29 ก.พ.63
“การเจรจาที่ 5.8 หมื่นล้านบาทและแปลงเป็นสัมปทาน 15 ปี 8 เดือน เป็นข้อยุติ และไม่มีหนี้และข้อพิพาทต่อกันอีก ดีที่สุดสำหรับรัฐ อีกทั้งรัฐบาล กระทรวงคมนาคม และบอร์ด กทพ. ไม่ได้เป็นผู้สร้างปัญหาแต่เป็นผู้แก้ไข อยากให้สังคมและประชาชนเข้าใจ ว่าการเจรจา ไม่ได้เป็นการเอื้อประโยชน์ให้ใคร อีกทั้งไม่กระทบต่อสถานภาพของกทพ.อีกด้วย” นายสุรงค์ กล่าว
“สุรงค์” ลั่นโปร่งใส-เป็นประโยชน์
นายสุรงค์ กล่าวด้วยว่า จากที่ ครม.มีมติเมื่อวันที่ 18 ก.พ.63 เห็นชอบแก้ไขสัญญา ทั้ง 2 ฉบับ ซึ่งเป็นการยุติข้อพิพาทกว่า 25 ปี โดยเริ่มเจรจาตั้งแต่เดือน ต.ค.61 โดยมีการเจรจาอย่างเป็นทางการ 7 ครั้ง ไม่เป็นทางการอีกกว่า 100 ครั้ง โดยมีผู้แทนจากกระทรวงการคลัง อัยการสูงสุด กฤษฎีกา และกรรมการกำกับตาม พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ 2556 มีการตรวจสอบทุกขั้นตอน และว่าจ้างที่ปรึกษา สำนักงานศูนย์วิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นที่ปรึกษา ในการเจรจา อีกทั้งมีคณะกรรมการเจรจาของกระทรวงคมนาคม และสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ตรวจสอบและวิเคราะห์ ตัวเลขต่างๆ ดังนั้น กทพ.จึงเชื่อมั่นว่าการเจรจานี้โปร่งใส เป็นประโยชน์ต่อประเทศและประชาชน ซึ่งคดีทางแข่งขันซึ่งศาลปกครองสูงสุดตัดสินว่า กทพ.แพ้ มูลค่า 4,318 ล้านบาท ซึ่งเฉพาะคดีทางแข่งขันมีมูลหนี้ถึง 7.8 หมื่นล้านบาท หากสู้ต่อไป มีโอกาสแพ้สูง และหากรวมคดีไม่ขึ้นค่าผ่านทางด้วยอีก 5.6 หมื่นล้านบาท มูลหนี้พิพาทจะสูงถึง 1.37 แสนล้านบาท และหากปล่อยไปจนสัมปทานสิ้นสุด มูลค่าข้อพิพาทจะสูงถึง 3 แสนล้านบาท
เริ่มสัญญาใหม่ทัน 1 มี.ค.นี้
ด้าน นายดำเกิง ปานขำ รักษาการผู้ว่าฯ กทพ. กล่าวว่า จะใช้มติครม. และสัญญา ประกอบคำร้องยื่นถอนฟ้อง ซึ่งจะเริ่มยื่นตั้งแต่ 21 ก.พ. และเร่งดำเนินการให้เสร็จก่อนวันที่ 29 ก.พ. เพื่อให้วันที่ 1 มี.ค.2563 สามารถเริ่มสัญญาที่ปรับปรุงแก้ไขใหม่
ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีถอนฟ้องไม่ทันจะวันที่ 29 ก.พ. นี้จะทำอย่างไร นางพเยาว์ มริตตนะพร กรรมการผู้จัดการ BEM กล่าวว่า กรณีที่หลังจากนี้อาจจะมีปัญหาเกิดขึ้น กทพ.และ BEM จะเร่งหารือกันก่อนวันที่ 29 ก.พ.
“ศักดิ์สยาม” จ่อชง DSI หาคนผิด
ด้านศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม กล่าวว่า ขณะนี้รอมติ ครม.วันที่ 18 ก.พ. เพื่อส่งเรื่องไปให้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เข้ามาดำเนินการสอบสวน หาผู้ที่เกี่ยวข้องที่ทำให้เกิดข้อพิพาท ซึ่งจะมีทั้งบุคคลและกลุ่มบุคคล ทั้งนี้ยืนยันการแก้ไขสัญญาทางด่วนเพื่อยุติข้อพิพาทและเป็นไปตามเงื่อนไขของสัญญาที่เป็นธรรม
วานนี้ (20 ก.พ.) เมื่อเวลา 17.20 น. นายสุรงค์ บูลกุล ประธานกรรมการ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ได้เป็นประธานในการลงนาม สัญญาโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 2 (ฉบับแก้ไข) และสัญญาโครงการทางด่วนสายบางปะอิน-ปากเกร็ด (ฉบับแก้ไข) ระหว่างการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) และบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM โดยมีนายดำเกิง ปานขำ รองผู้ว่าการฝ่ายปฏิบัติการ กทพ. ทำหน้าที่รักษาการผู้ว่าฯ กทพ. และ นายสุพงศ์ ชยุตสาหกิจ กรรมการบริหาร BEM และนางพเยาว์ มริตตนะพร กรรมการผู้จัดการ BEM เป็นผู้ร่วมลงนาม
ทั้งนี้จะเป็นการยุติข้อพิพาททั้ง 17 คดี ที่มีมูลค่าที่ 58,873 ล้านบาท โดยมีการต่อขยายสัญญาโครงการทางด่วน เป็นระยะเวลา 15 ปี 8 เดือน โดยจะทำให้สัญญาสัมปทานทางด่วนขั้นที่ 2 (ส่วน A ,B ,C )ทางด่วนขั้นที่ 2 ส่วน D และสัญญาโครงการทางด่วนสายบางปะอิน-ปากเกร็ด (C บวก) สิ้นสุดพร้อมกันในวันที่ 31 ต.ค.2578
โดยแบ่งเป็นคดีทางแข่งขัน 2 คดี ศาลปกครองสูงสุดตัดสินแล้ว 1 คดี ช่วงปี 2542-2543 ค่าชดเชย 4,318 ล้านบาท (ไม่รวมดอกเบี้ย), อีก 1 คดี ช่วงปี 2544-2561 อยู่ระหว่างพิพาท วงเงิน 74,590 ล้านบาท, คดีการไม่ปรับค่าผ่าทางตามสัญญา 11 คดี ตั้งแต่ปี 2546 ถึงปี 2561 (อยู่ในระหว่างพิพาทชั้นอนุญาโตตุลาการ 8 คดี (อนุญาโตตุลาการที่ชี้ว่า BEM ชนะ 2 คดี และศาลปกครองกลาง ตัดสิน ให้ BEM ชนะ 1 คดี) มีมูลค่าพิพาท 56,034 ล้านบาท, ส่วนที่เหลือเป็นคดีอื่นๆ มูลหนี้พิพาท 7,000 ล้านบาท โดยมี 1 คดีที่ กทพ.ชนะ คิดเป็นมูลหนี้ 491 ล้านบาท
ถอนฟ้องในทุกคดีก่อน 28 ก.พ.
นายสุรงค์ เปิดเผยว่า การลงนามในวันนี้ ถือเป็นการยุติข้อพิพาทตามแนวทางที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์สูงสุด โดยเป็นการยุติข้อพิพาทใน 3 กลุ่มที่มีมูลค่าข้อพิพาท 137,517 ล้านบาท โดยการขยายอายุสัมปทานให้แก่ BEM เป็นเวลา 15 ปี 8 เดือน ซึ่งนับจากวันนี้ทั้งสองฝ่ายจะร่วมมือกันในการดำเนินขั้นตอนการถอนฟ้องในทุกคดีให้เรียบร้อยภายในวันที่ 28 ก.พ.63 เพื่อให้สัญญามีผลบังคับใช้ต่อเนื่องจากสัญญาสัมปทานของทางด่วนขั้นที่ 2 ส่วน A B C ช่วงแจ้งวัฒนะ – อโศก – บางโคล่ จะหมดอายุลงวันที่ 29 ก.พ.63
“การเจรจาที่ 5.8 หมื่นล้านบาทและแปลงเป็นสัมปทาน 15 ปี 8 เดือน เป็นข้อยุติ และไม่มีหนี้และข้อพิพาทต่อกันอีก ดีที่สุดสำหรับรัฐ อีกทั้งรัฐบาล กระทรวงคมนาคม และบอร์ด กทพ. ไม่ได้เป็นผู้สร้างปัญหาแต่เป็นผู้แก้ไข อยากให้สังคมและประชาชนเข้าใจ ว่าการเจรจา ไม่ได้เป็นการเอื้อประโยชน์ให้ใคร อีกทั้งไม่กระทบต่อสถานภาพของกทพ.อีกด้วย” นายสุรงค์ กล่าว
“สุรงค์” ลั่นโปร่งใส-เป็นประโยชน์
นายสุรงค์ กล่าวด้วยว่า จากที่ ครม.มีมติเมื่อวันที่ 18 ก.พ.63 เห็นชอบแก้ไขสัญญา ทั้ง 2 ฉบับ ซึ่งเป็นการยุติข้อพิพาทกว่า 25 ปี โดยเริ่มเจรจาตั้งแต่เดือน ต.ค.61 โดยมีการเจรจาอย่างเป็นทางการ 7 ครั้ง ไม่เป็นทางการอีกกว่า 100 ครั้ง โดยมีผู้แทนจากกระทรวงการคลัง อัยการสูงสุด กฤษฎีกา และกรรมการกำกับตาม พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ 2556 มีการตรวจสอบทุกขั้นตอน และว่าจ้างที่ปรึกษา สำนักงานศูนย์วิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นที่ปรึกษา ในการเจรจา อีกทั้งมีคณะกรรมการเจรจาของกระทรวงคมนาคม และสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ตรวจสอบและวิเคราะห์ ตัวเลขต่างๆ ดังนั้น กทพ.จึงเชื่อมั่นว่าการเจรจานี้โปร่งใส เป็นประโยชน์ต่อประเทศและประชาชน ซึ่งคดีทางแข่งขันซึ่งศาลปกครองสูงสุดตัดสินว่า กทพ.แพ้ มูลค่า 4,318 ล้านบาท ซึ่งเฉพาะคดีทางแข่งขันมีมูลหนี้ถึง 7.8 หมื่นล้านบาท หากสู้ต่อไป มีโอกาสแพ้สูง และหากรวมคดีไม่ขึ้นค่าผ่านทางด้วยอีก 5.6 หมื่นล้านบาท มูลหนี้พิพาทจะสูงถึง 1.37 แสนล้านบาท และหากปล่อยไปจนสัมปทานสิ้นสุด มูลค่าข้อพิพาทจะสูงถึง 3 แสนล้านบาท
เริ่มสัญญาใหม่ทัน 1 มี.ค.นี้
ด้าน นายดำเกิง ปานขำ รักษาการผู้ว่าฯ กทพ. กล่าวว่า จะใช้มติครม. และสัญญา ประกอบคำร้องยื่นถอนฟ้อง ซึ่งจะเริ่มยื่นตั้งแต่ 21 ก.พ. และเร่งดำเนินการให้เสร็จก่อนวันที่ 29 ก.พ. เพื่อให้วันที่ 1 มี.ค.2563 สามารถเริ่มสัญญาที่ปรับปรุงแก้ไขใหม่
ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีถอนฟ้องไม่ทันจะวันที่ 29 ก.พ. นี้จะทำอย่างไร นางพเยาว์ มริตตนะพร กรรมการผู้จัดการ BEM กล่าวว่า กรณีที่หลังจากนี้อาจจะมีปัญหาเกิดขึ้น กทพ.และ BEM จะเร่งหารือกันก่อนวันที่ 29 ก.พ.
“ศักดิ์สยาม” จ่อชง DSI หาคนผิด
ด้านศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม กล่าวว่า ขณะนี้รอมติ ครม.วันที่ 18 ก.พ. เพื่อส่งเรื่องไปให้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เข้ามาดำเนินการสอบสวน หาผู้ที่เกี่ยวข้องที่ทำให้เกิดข้อพิพาท ซึ่งจะมีทั้งบุคคลและกลุ่มบุคคล ทั้งนี้ยืนยันการแก้ไขสัญญาทางด่วนเพื่อยุติข้อพิพาทและเป็นไปตามเงื่อนไขของสัญญาที่เป็นธรรม