วานนี้ (18 ก.พ.) ที่ พรรคอนาคตใหม่ นายปิยบุตร แสงกนกกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่(อนค.) แถลงปิดคดีนอกศาลรัฐธรรมนูญ กรณีเงินกู้พรรคอนค. ก่อนที่ศาลฯจะอ่านคำวินิจฉัยคดี ในวันที่ 21 ก.พ.นี้ โดยระบุว่า พรรคอนค. ได้รับการรับรอง เมื่อวันที่ 3 ต.ค. 61 และเปิดการรับสมาชิก ระดมทุนและรับบริจาคทันที เพราะกม.พรรคการเมืองและการเลือกตั้ง เรียกร้องให้พรรคการเมืองทำหลายเรื่อง ทั้งตั้งสาขาพรรค และตัวแทนประจำจังหวัด มิฉะนั้นจะส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งไม่ได้ ขณะเดียวกัน ช่วงเวลานั้นมีคำสั่ง คสช. ห้ามดำเนินกิจกรรมทางการเมือง ต้องรอจนถึงเดือนธ.ค.61 คสช. จึงจะปลดล็อกการเมือง
เวลานั้นพรรคการเมืองไม่รู้ว่า การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นเมื่อไร ดังนั้นทุกพรรค ต้องเตรียมตัวเต็มที่ สำหรับพรรคการเมืองเก่า มีงบฯอยู่บ้างแล้ว แต่พรรคที่ตั้งใหม่จะเอาเงินมาจากไหน พรรคอนาคตใหม่ ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า มีเวลาจัดกิจกรรมระดมทุน และหาสมาชิกพรรคจนถึงการเลือกตั้งไม่กี่เดือน จึงตัดสินใจ กู้เงิน ขณะที่พรรคพลังประชารัฐ จัดโต๊ะจีนระดมทุนเมื่อ 19 ธ.ค.61 ได้เงินมากกว่า 600 ล้านบาท
การจัดโต๊ะจีน ถ้าเปิดรายชื่อดู จะพบว่า คนที่ซื้อโต๊ะจีน ล้วนเป็นบริษัทใหญ่ แต่พรรคอนาคตใหม่ ไม่ต้องการรับเงินจากบริษัททุนผูกขาด ไม่ต้องการให้ทุนเข้ามาครอบงำ แต่กฎหมายบังคับให้เราทำเรื่องต่างๆ มากมาย เช่น ค่าเช่าสำนักงาน ค่าจ้างบุคลากร งบประมาณในการเดินสายรับสมาชิกพรรค ต้องใช้เงินทั้งสิ้น และเมื่อเส้นตายใกล้เข้ามา พรรคจึงเลือกใช้วิธี กู้เงิน เพราะไม่มีปัญญาจัดโต๊ะจีนแล้วจะได้เงิน 600 ล้าน
เมื่อเรากู้เงินมาแล้ว ก็ไม่ได้ปกปิดเป็นความลับ เราประกาศชัดเจนในงบการเงิน นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค ก็เป็นคนบอกกับสื่อเอง ต้องการให้เกิดความโปร่งใส และเมื่อพิจารณาตามกม.พรรคการเมือง สามารถกู้เงินได้ กล่าวคือ หลักกฎหมายมหาชน จะเรียกร้องจากองค์กรรัฐว่า ไม่มีกม. ไม่มีอำนาจ แต่กม.เอกชน จะมีเสรีภาพดำเนินการใดๆก็ได้ตราบเท่าที่กฎหมายไม่ได้ห้าม พรรคการเมือง คือ นิติบุคคลเอกชน นอกจากนี้ หน่วยงานของรัฐ เกิดขึ้นได้จะต้องมีกฎหมายจัดตั้งขึ้นมา แต่นิติบุคคลเอกชน เกิดได้จากการรวมตัวของบุคคล หน่วยงานของรัฐจะมีบุคคลากรของรัฐ ที่มีสถานะเป็นเจ้าหน้าที่ แต่พรรคการเมือง คนที่อยู่ในพรรคการเมือง ก็ล้วนเป็นบุคคลเอกชนธรรมดาเท่านั้น ดังนั้น พรรคการเมืองจึงเป็นนิติบุคคลเอกชน ก็เข้าหลักว่า ทำได้ทุกอย่าง เว้นแต่กฎหมายห้ามไม่ให้ทำ
ที่ผ่านมา กกต.เคยแจกเอกสารให้กับพรรคการเมืองว่า พรรคการเมืองทำอะไรได้ หรือทำอะไรไม่ได้ โดยไม่มีสักบรรทัด ที่ระบุว่าห้ามกู้เงิน หากในนี้เขียนชัดว่า ห้ามกู้เงิน พรรคก็จะไม่กู้ แน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นหากจะมาลงโทษถึงขั้นยุบพรรค ควรจะต้องตีความอย่างเคร่งครัด จะมาอาศัยการตีความแบบขยายความไม่ได้
"ที่สำคัญเงินกู้ไม่ใช่รายได้ และเงินกู้ ไม่ใช่เงินบริจาค และเงินกู้ไม่ใช่ประโยชน์อื่นใด แต่เงินกู้ คือ หนี้สิน งบการเงินของแต่ละพรรคที่แสดงต่อ กกต. ในส่วนของเงินกู้ล้วนจัดไปอยู่ในหมวดหนี้สิน ดังนั้น การที่ มาตรา 62 ไม่ได้กำหนดเรื่องรายได้ที่มาจากเงินกู้ ย่อมถูกต้องตามระบบบัญชี ต่อให้กกต.จะตีความ หรือขยายความว่าเรามีความผิด ก็จะมีโทษแค่การปรับเท่านั้น"
กฎหมายพรรคการเมือง มาตรา 4 กำหนดนิยามคำว่า บริจาค มีความหมายว่า "การให้เงิน หรือทรัพย์สินแก่พรรคการเมืองนอกจากค่าธรรมเนียมและค่าบํารุงพรรคการเมือง และให้หมายความรวมถึง การให้ประโยชน์อื่นใดแก่พรรคการเมืองบรรดาที่สามารถคํานวณเป็นเงินได้ตามที่คณะกรรมการกําหนดด้วย"
ส่วนคำว่า "การให้" มีนิยามในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่า ผู้ให้โอนทรัพย์สินให้โดยเสน่หาแก่ผู้รับ แต่สำหรับเงินกู้ ชัดในตัวเองว่าไม่ใช่การบริจาค และไม่ใช่การให้ เพราะเงินกู้ต้องใช้คืนในฐานะเป็นหนี้สิน
"หัวหน้าพรรคยืนยันว่า จะทวงคืนเงินกู้ที่พรรคกู้ไปชัดเจน และพรรคอนาคตใหม่ ได้ก็รณรงค์เพื่อช่วยกันซื้อสินค้าของพรรค เพื่อไปใช้หนี้ ที่สำคัญที่ผ่านมามีหนังสือสำคัญในการชำระหนี้ไปแล้วบางส่วน ถ้าถึงขนาดนี้ยังบอกว่าเป็นเงินบริจาคแล้วก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ต่างกับพรรคการเมืองอื่นที่กู้เงินโดยไม่มีสัญญา ไม่มีกำหนดชำระหนี้ชัดเจน แบบนี้กรณีใดเข้าข่ายการบริจาค มากกว่ากัน กกต.ร้องไป และให้เหตุผลว่าพรรคอนาคตใหม่ ไปกู้เงิน 191 ล้านบาท พร้อมกับสงสัยว่า พรรคอนาคตใหม่ จะสามารถชำระหนี้คืนได้ หรือไม่ ซึ่งผมก็สงสัยเหมือนกันว่า กกต.เคยไปถามพรรคการเมืองอื่นๆ แบบนี้หรือไม่"
นอกจากนี้ กระบวนการในชั้น กกต. มีความผิดปกติ กรณี มาตรา 66 คณะอนุกรรมการฯ เรียกพรรคไปชี้แจง ก่อนที่ต่อมาจะยกคำร้องว่า พรรคการเมืองกู้เงินได้ แต่ กกต.ก็ยังส่งให้ คณะอนุกรรมการฯ อีกคณะ ก็มีมติเช่นเดิม สองคณะให้ยกคำร้องไปแล้ว ซึ่งตามกม. จะต้องยุติเรื่อง แต่กกต.กลับเดินเรื่องต่อไปเรื่อยๆ
ส่วนกรณี มาตรา 72 กกต.ใช้เวลาแค่ 2 สัปดาห์ ในการส่งให้ศาลรธน. วินิจฉัยยุบพรรค โดยไม่เคยมีการแจ้งข้อกล่าวหากับพรรคเลย และไม่เคยมีการเรียกไปให้ข้อมูลใดๆ ทั้งสิ้น พรรคอนาคตใหม่รู้ว่าถูกร้องยุบพรรคพร้อมประชาชนทั่วประเทศ หลักประกันการต่อสู้คดีของพรรค อยู่ตรงไหน กกต.เป็นองค์กรอิสระ ไม่ใช่นักร้อง ที่จะหยิบบัตรสนเท่ห์ และส่งให้ศาลฯ กกต.จะรีบอะไรขนาดนั้น ทั้งนี้ ศาลฯ เคยมีบรรทัดฐานว่า การพิจารณาคดีข้ามขั้นตอนของ กกต. เป็นสาระสำคัญที่ทำให้มีการวินิจฉัยยกคำร้องมาแล้ว จากกรณีของ พรรคประชาธิปัตย์ ที่ถูกกล่าวหารับเงินจากเอกชน
ขณะเดียวกัน อีกแง่หนึ่ง ศาลรธน. ไม่มีอำนาจยุบพรรค และไม่มีอำนาจตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรค กล่าวคือ รัฐธรรมนูญ ปี 60 มาตรา 210 (3) บัญญัติว่า หน้าที่และอํานาจอื่นตามที่บัญญัติไว้ในรธน. ซึ่งเมื่อพิจารณารธน.แล้ว ไม่มีมาตราใดที่กำหนดให้ ศาลรธน. มีอำนาจยุบพรรค และตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรค โดยอำนาจยุบพรรค และเพิกถอนสิทธิกรรมการบริหารพรรค มีอยู่ในมาตรา 92 ของกม.พรรคการเมืองเท่านั้น ดังนั้นประเด็นนี้เป็นประเด็นข้อกฎหมาย ที่ศาลรธน. ต้องวินิจฉัยก่อนว่า มาตรา 92 ของกม.พรรคการเมืองขัดหรือแย้งกับรธน. หรือไม่
สำหรับบทลงโทษของ มาตรา 66 มีแต่โทษเพิกถอนสิทธิของบุคคลที่บริจาคเงินเกิน และโทษปรับบุคคลที่บริจาคเงินเกินจำนวนที่กม.กำหนด ส่วนพรรคที่รับเงินดังกล่าว ก็ต้องส่งเงินคืน และเพิกถอนสิทธิ์กก.บริหารพรรคเท่านั้น ไม่มีการยุบพรรค
ที่สำคัญกระบวนการนี้ต้องเป็นไปตามกระบวนการปกติ คือ กกต.พิจารณา และส่งศาลอาญา และสู้กันถึง 3 ศาล โดยศาลรธน. ไม่เกี่ยว ส่วนกรณี มาตรา 72 กม.มีวัตถุประสงค์ป้องกันไม่ให้พรรคการเมืองเอาเงินสีเทา มาใช้ในพรรค ถามว่าการกู้เงินผิดตรงไหน เพราะเงินที่มา ก็มีแหล่งที่มาที่ถูกกม. ดังน้้น พรรคอนาคตใหม่ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับ ม. 72 แต่เหตุที่กกต.ต้องหยิบ ม.72 มาเป็นประเด็น เพราะกกต.เห็นว่ามีโทษยุบพรรค กกต.ถึงจะส่งศาลรธน.ให้ยุบพรรคได้
การมาบอกว่า เมื่อกฎหมายไม่ให้กู้เงินแล้ว โดยรู้ หรือควรจะรู้ว่าได้มาโดยมิชอบ ย่อมเป็นความผิดนั้น ขอชี้แจงว่าพรรคไม่มีทางรู้ว่า กกต.จะตีความพิสดารขนาดนี้ ถ้าพิสูจน์เจตนาก็ชัดเจนว่า พรรคไม่มีทางรู้เลยว่า กกต.จะตีความแบบนี้ ดังนั้นยืนยันได้ว่า พรรคอนาคตใหม่ไม่มีความผิดตาม มาตรา 62 มาตร 66 มาตรา 72 ศาลรธน.ต้องยกคำร้องเท่านั้น
วันที่ 21 ก.พ. หากพรรคอนาคตใหม่ถูกยุบจริง ก็จะไม่ใช่แค่การยุบพรรคเท่านั้น แต่เป็นการยุบความหวังของคนรุ่นใหม่ เป็นการทุบเข้าไปที่หัวใจของคนจำนวนมาก ที่หวังว่าประเทศไทยจะไปสู่จุดที่ดีกว่าเดิม และให้ประเทศไทยหลุดจากวงจรรัฐประหาร การพัฒนาการประชาธิปไตยกำลังเดินไปตามครรลอง อย่าเอานิติสงคราม มาเป็นเครื่องมือ ในการตอกลิ่มให้ความแตกแยก เพราะพรรคอนาคตใหม่ จะไม่หายไป ธนาธร และปิยบุตร จะไม่หายไป แต่จะเห็นว่าพวกเราโลดแล่นมากกว่าเดิม และ ส.ส.ของพรรค ก็จะไม่ไปเติมให้กับรัฐบาลด้วย
เวลานั้นพรรคการเมืองไม่รู้ว่า การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นเมื่อไร ดังนั้นทุกพรรค ต้องเตรียมตัวเต็มที่ สำหรับพรรคการเมืองเก่า มีงบฯอยู่บ้างแล้ว แต่พรรคที่ตั้งใหม่จะเอาเงินมาจากไหน พรรคอนาคตใหม่ ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า มีเวลาจัดกิจกรรมระดมทุน และหาสมาชิกพรรคจนถึงการเลือกตั้งไม่กี่เดือน จึงตัดสินใจ กู้เงิน ขณะที่พรรคพลังประชารัฐ จัดโต๊ะจีนระดมทุนเมื่อ 19 ธ.ค.61 ได้เงินมากกว่า 600 ล้านบาท
การจัดโต๊ะจีน ถ้าเปิดรายชื่อดู จะพบว่า คนที่ซื้อโต๊ะจีน ล้วนเป็นบริษัทใหญ่ แต่พรรคอนาคตใหม่ ไม่ต้องการรับเงินจากบริษัททุนผูกขาด ไม่ต้องการให้ทุนเข้ามาครอบงำ แต่กฎหมายบังคับให้เราทำเรื่องต่างๆ มากมาย เช่น ค่าเช่าสำนักงาน ค่าจ้างบุคลากร งบประมาณในการเดินสายรับสมาชิกพรรค ต้องใช้เงินทั้งสิ้น และเมื่อเส้นตายใกล้เข้ามา พรรคจึงเลือกใช้วิธี กู้เงิน เพราะไม่มีปัญญาจัดโต๊ะจีนแล้วจะได้เงิน 600 ล้าน
เมื่อเรากู้เงินมาแล้ว ก็ไม่ได้ปกปิดเป็นความลับ เราประกาศชัดเจนในงบการเงิน นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค ก็เป็นคนบอกกับสื่อเอง ต้องการให้เกิดความโปร่งใส และเมื่อพิจารณาตามกม.พรรคการเมือง สามารถกู้เงินได้ กล่าวคือ หลักกฎหมายมหาชน จะเรียกร้องจากองค์กรรัฐว่า ไม่มีกม. ไม่มีอำนาจ แต่กม.เอกชน จะมีเสรีภาพดำเนินการใดๆก็ได้ตราบเท่าที่กฎหมายไม่ได้ห้าม พรรคการเมือง คือ นิติบุคคลเอกชน นอกจากนี้ หน่วยงานของรัฐ เกิดขึ้นได้จะต้องมีกฎหมายจัดตั้งขึ้นมา แต่นิติบุคคลเอกชน เกิดได้จากการรวมตัวของบุคคล หน่วยงานของรัฐจะมีบุคคลากรของรัฐ ที่มีสถานะเป็นเจ้าหน้าที่ แต่พรรคการเมือง คนที่อยู่ในพรรคการเมือง ก็ล้วนเป็นบุคคลเอกชนธรรมดาเท่านั้น ดังนั้น พรรคการเมืองจึงเป็นนิติบุคคลเอกชน ก็เข้าหลักว่า ทำได้ทุกอย่าง เว้นแต่กฎหมายห้ามไม่ให้ทำ
ที่ผ่านมา กกต.เคยแจกเอกสารให้กับพรรคการเมืองว่า พรรคการเมืองทำอะไรได้ หรือทำอะไรไม่ได้ โดยไม่มีสักบรรทัด ที่ระบุว่าห้ามกู้เงิน หากในนี้เขียนชัดว่า ห้ามกู้เงิน พรรคก็จะไม่กู้ แน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นหากจะมาลงโทษถึงขั้นยุบพรรค ควรจะต้องตีความอย่างเคร่งครัด จะมาอาศัยการตีความแบบขยายความไม่ได้
"ที่สำคัญเงินกู้ไม่ใช่รายได้ และเงินกู้ ไม่ใช่เงินบริจาค และเงินกู้ไม่ใช่ประโยชน์อื่นใด แต่เงินกู้ คือ หนี้สิน งบการเงินของแต่ละพรรคที่แสดงต่อ กกต. ในส่วนของเงินกู้ล้วนจัดไปอยู่ในหมวดหนี้สิน ดังนั้น การที่ มาตรา 62 ไม่ได้กำหนดเรื่องรายได้ที่มาจากเงินกู้ ย่อมถูกต้องตามระบบบัญชี ต่อให้กกต.จะตีความ หรือขยายความว่าเรามีความผิด ก็จะมีโทษแค่การปรับเท่านั้น"
กฎหมายพรรคการเมือง มาตรา 4 กำหนดนิยามคำว่า บริจาค มีความหมายว่า "การให้เงิน หรือทรัพย์สินแก่พรรคการเมืองนอกจากค่าธรรมเนียมและค่าบํารุงพรรคการเมือง และให้หมายความรวมถึง การให้ประโยชน์อื่นใดแก่พรรคการเมืองบรรดาที่สามารถคํานวณเป็นเงินได้ตามที่คณะกรรมการกําหนดด้วย"
ส่วนคำว่า "การให้" มีนิยามในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่า ผู้ให้โอนทรัพย์สินให้โดยเสน่หาแก่ผู้รับ แต่สำหรับเงินกู้ ชัดในตัวเองว่าไม่ใช่การบริจาค และไม่ใช่การให้ เพราะเงินกู้ต้องใช้คืนในฐานะเป็นหนี้สิน
"หัวหน้าพรรคยืนยันว่า จะทวงคืนเงินกู้ที่พรรคกู้ไปชัดเจน และพรรคอนาคตใหม่ ได้ก็รณรงค์เพื่อช่วยกันซื้อสินค้าของพรรค เพื่อไปใช้หนี้ ที่สำคัญที่ผ่านมามีหนังสือสำคัญในการชำระหนี้ไปแล้วบางส่วน ถ้าถึงขนาดนี้ยังบอกว่าเป็นเงินบริจาคแล้วก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ต่างกับพรรคการเมืองอื่นที่กู้เงินโดยไม่มีสัญญา ไม่มีกำหนดชำระหนี้ชัดเจน แบบนี้กรณีใดเข้าข่ายการบริจาค มากกว่ากัน กกต.ร้องไป และให้เหตุผลว่าพรรคอนาคตใหม่ ไปกู้เงิน 191 ล้านบาท พร้อมกับสงสัยว่า พรรคอนาคตใหม่ จะสามารถชำระหนี้คืนได้ หรือไม่ ซึ่งผมก็สงสัยเหมือนกันว่า กกต.เคยไปถามพรรคการเมืองอื่นๆ แบบนี้หรือไม่"
นอกจากนี้ กระบวนการในชั้น กกต. มีความผิดปกติ กรณี มาตรา 66 คณะอนุกรรมการฯ เรียกพรรคไปชี้แจง ก่อนที่ต่อมาจะยกคำร้องว่า พรรคการเมืองกู้เงินได้ แต่ กกต.ก็ยังส่งให้ คณะอนุกรรมการฯ อีกคณะ ก็มีมติเช่นเดิม สองคณะให้ยกคำร้องไปแล้ว ซึ่งตามกม. จะต้องยุติเรื่อง แต่กกต.กลับเดินเรื่องต่อไปเรื่อยๆ
ส่วนกรณี มาตรา 72 กกต.ใช้เวลาแค่ 2 สัปดาห์ ในการส่งให้ศาลรธน. วินิจฉัยยุบพรรค โดยไม่เคยมีการแจ้งข้อกล่าวหากับพรรคเลย และไม่เคยมีการเรียกไปให้ข้อมูลใดๆ ทั้งสิ้น พรรคอนาคตใหม่รู้ว่าถูกร้องยุบพรรคพร้อมประชาชนทั่วประเทศ หลักประกันการต่อสู้คดีของพรรค อยู่ตรงไหน กกต.เป็นองค์กรอิสระ ไม่ใช่นักร้อง ที่จะหยิบบัตรสนเท่ห์ และส่งให้ศาลฯ กกต.จะรีบอะไรขนาดนั้น ทั้งนี้ ศาลฯ เคยมีบรรทัดฐานว่า การพิจารณาคดีข้ามขั้นตอนของ กกต. เป็นสาระสำคัญที่ทำให้มีการวินิจฉัยยกคำร้องมาแล้ว จากกรณีของ พรรคประชาธิปัตย์ ที่ถูกกล่าวหารับเงินจากเอกชน
ขณะเดียวกัน อีกแง่หนึ่ง ศาลรธน. ไม่มีอำนาจยุบพรรค และไม่มีอำนาจตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรค กล่าวคือ รัฐธรรมนูญ ปี 60 มาตรา 210 (3) บัญญัติว่า หน้าที่และอํานาจอื่นตามที่บัญญัติไว้ในรธน. ซึ่งเมื่อพิจารณารธน.แล้ว ไม่มีมาตราใดที่กำหนดให้ ศาลรธน. มีอำนาจยุบพรรค และตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรค โดยอำนาจยุบพรรค และเพิกถอนสิทธิกรรมการบริหารพรรค มีอยู่ในมาตรา 92 ของกม.พรรคการเมืองเท่านั้น ดังนั้นประเด็นนี้เป็นประเด็นข้อกฎหมาย ที่ศาลรธน. ต้องวินิจฉัยก่อนว่า มาตรา 92 ของกม.พรรคการเมืองขัดหรือแย้งกับรธน. หรือไม่
สำหรับบทลงโทษของ มาตรา 66 มีแต่โทษเพิกถอนสิทธิของบุคคลที่บริจาคเงินเกิน และโทษปรับบุคคลที่บริจาคเงินเกินจำนวนที่กม.กำหนด ส่วนพรรคที่รับเงินดังกล่าว ก็ต้องส่งเงินคืน และเพิกถอนสิทธิ์กก.บริหารพรรคเท่านั้น ไม่มีการยุบพรรค
ที่สำคัญกระบวนการนี้ต้องเป็นไปตามกระบวนการปกติ คือ กกต.พิจารณา และส่งศาลอาญา และสู้กันถึง 3 ศาล โดยศาลรธน. ไม่เกี่ยว ส่วนกรณี มาตรา 72 กม.มีวัตถุประสงค์ป้องกันไม่ให้พรรคการเมืองเอาเงินสีเทา มาใช้ในพรรค ถามว่าการกู้เงินผิดตรงไหน เพราะเงินที่มา ก็มีแหล่งที่มาที่ถูกกม. ดังน้้น พรรคอนาคตใหม่ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับ ม. 72 แต่เหตุที่กกต.ต้องหยิบ ม.72 มาเป็นประเด็น เพราะกกต.เห็นว่ามีโทษยุบพรรค กกต.ถึงจะส่งศาลรธน.ให้ยุบพรรคได้
การมาบอกว่า เมื่อกฎหมายไม่ให้กู้เงินแล้ว โดยรู้ หรือควรจะรู้ว่าได้มาโดยมิชอบ ย่อมเป็นความผิดนั้น ขอชี้แจงว่าพรรคไม่มีทางรู้ว่า กกต.จะตีความพิสดารขนาดนี้ ถ้าพิสูจน์เจตนาก็ชัดเจนว่า พรรคไม่มีทางรู้เลยว่า กกต.จะตีความแบบนี้ ดังนั้นยืนยันได้ว่า พรรคอนาคตใหม่ไม่มีความผิดตาม มาตรา 62 มาตร 66 มาตรา 72 ศาลรธน.ต้องยกคำร้องเท่านั้น
วันที่ 21 ก.พ. หากพรรคอนาคตใหม่ถูกยุบจริง ก็จะไม่ใช่แค่การยุบพรรคเท่านั้น แต่เป็นการยุบความหวังของคนรุ่นใหม่ เป็นการทุบเข้าไปที่หัวใจของคนจำนวนมาก ที่หวังว่าประเทศไทยจะไปสู่จุดที่ดีกว่าเดิม และให้ประเทศไทยหลุดจากวงจรรัฐประหาร การพัฒนาการประชาธิปไตยกำลังเดินไปตามครรลอง อย่าเอานิติสงคราม มาเป็นเครื่องมือ ในการตอกลิ่มให้ความแตกแยก เพราะพรรคอนาคตใหม่ จะไม่หายไป ธนาธร และปิยบุตร จะไม่หายไป แต่จะเห็นว่าพวกเราโลดแล่นมากกว่าเดิม และ ส.ส.ของพรรค ก็จะไม่ไปเติมให้กับรัฐบาลด้วย