**ถือว่าเป็นที่น่าชื่นใจ ที่ผลสำรวจล่าสุดของนิด้าโพล ที่ชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับการเล่นการเมืองนอกสภาฯ รวมไปถึงการไม่สนับสนุนการชุมนุมทางการเมือง ซึ่งกล่าวโดยสรุปก็คือ เป็นการแสดงความเห็นส่วนใหญ่ที่มีทั้งประเภทที่ไม่เห็นด้วยอย่างมาก และประเภทค่อนข้างไม่เห็นด้วย ทำให้รวมๆ แล้ว ก็เป็นท่าทีที่ไม่เห็นด้วยนั่นแหละ
ทั้งนี้ท่าทีดังกล่าวก็เหมือนกับการแย้งแนวทางการเคลื่อนไหวในลักษณะที่ถูกมองว่าเป็นการ “ปลุกระดม”เพื่อกดดันศาลรัฐธรรมนูญ ทั้งก่อนและหลังการวินิจฉัยคดีเงินกู้ของพรรคอนาคตใหม่ ที่ศาลรัฐธรรมนูญมีกำหนดวันตัดสิน ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์นี้
ก่อนหน้านี้ทั้ง นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค และนายปิยบุตร แสงกนกกุล ได้แสดงท่าทีในลักษณะปลุกเร้ามวลชนว่า ให้ออกมาชุมนุมนอกสภาฯ หรือการชุมนุมเพื่อคัดค้านการยุบพรรคอนาคตใหม่ โดยพวกเขาอ้างว่า นี่คือการกลั่นแกล้ง หรือไปไกลถึงขั้นที่ว่า นี่คือเกมการเมืองในการขัดขวางไม่ให้พวกเขาได้ทำหน้าที่ในการซักฟอกรัฐบาลในญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ที่กำหนดเอาไว้ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์
โดยพวกเขายืนยันว่าจะไม่ลาออกจากกรรมการบริหารพรรคก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยคดียุบพรรค ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ เนื่องจากมั่นใจว่า พรรคอนาคตใหม่จะไม่ถูกยุบพรรคอย่างแน่นอน อย่างไรก็ดี หากผลออกมาเป็นลบ หรือถูกยุบพรรคพวกเขาก็จะออกมารณรงค์ด้านการเมืองนอกสภาฯ ต่อไป โดยอ้างว่าเป็นการเคลื่อนไหวเพื่อปฏิรูปการเมือง
**อย่างไรก็ดี สิ่งที่น่าจับตาก็คือการเคลื่อนไหวที่เชื่อมโยงกันของบางกลุ่มที่สนับสนุนพรรคอนาคตใหม่ และพรรคแกนนำของพรรคการเมืองพรรคนี้ที่กำลังรณรงค์เพื่อคัดค้านการยุบพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งแน่นอนว่า ย่อมถูกมองว่านี่คือความพยายามในการ“ดิ้นรนเอาตัวรอด”ของบางกลุ่มการเมือง เพื่อกดดันศาล ซึ่งในที่นี้ก็คือศาลรัฐธรรมนูญ ที่กำลังจะวินิจฉัยคดียุบพรรคในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
หลายคนมองว่าการเคลื่อนไหวแบบนี้ไม่ว่าจะเป็นการรณรงค์คัดค้านการยุบพรรค หรือการชุมนุมของผู้สนับสนุน และสมาชิกพรรคเพื่อกดดันนอกสภาฯ หรือแม้แต่การที่ให้บรรดาสมาชิกพรรคอนาคตใหม่ ยื่นฟ้องคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ที่ยื่นคำร้องยุบพรรคอนาคตใหม่ ก่อนหน้านี้ต่อศาลรัฐธรรมนูญ และนำไปสู่กำหนดวันวินิจฉัยคดีในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ไม่ต่างจากการใช้ “กฎหมู่เหนือกฎหมาย”
**การเคลื่อนไหวดังกล่าว ทำให้กูรูทางกฎหมายบางคนเห็นว่าเป็นการเคลื่อนไหวที่ไม่ถูกต้อง เพราะหากไม่เห็นด้วยกับการยุบพรรคอนาคตใหม่ก็ต้องไปรณรงค์ยกเลิกกฎหมายพรรคการเมือง มากกว่า ไม่ใช่เป็นการรณรงค์เพื่อขัดขวางการบังคับใช้กฎหมายแบบนี้
ที่ผ่านมา หากพิจารณาจากจุดเริ่มต้นของคดีนี้ ก็มีสาเหตุมาจากการเปิดเผยออกมาจากปากของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่เอง และต่อมาในระหว่างการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ก็มีเรื่องดังกล่าวปรากฏอยู่ด้วย และต่อมาบรรดาแกนนำของพรรคต่างก็ยอมรับ เพียงแต่พวกเขาอ้างในเรื่องกฎหมายพรรคการเมืองไม่ได้ห้ามในเรื่องการกู้เงินเอาไว้
ดังนั้น ไม่มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยในเรื่องข้อเท็จจริง มีเพียงการตัดสินในเรื่องข้อกฎหมายเท่านั้น ที่ศาลจะต้องวินิจฉัย ซึ่งในที่นี้เป็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญว่าจะวินิจฉัยออกมาตามข้อกฎหมายที่มีอยู่ โดยไม่อาจไปกดดันให้ออกไปทางใดทางหนึ่งได้เลย
อย่างไรก็ดี แม้ว่าหากพิจารณาจากความเคลื่อนไหวของบรรดาแกนนำของพรรคอนาคตใหม่ที่พยายามกดดันศาลรัฐธรรมนูญทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้ผลการวินิจฉัยออกมาในทางลบกับตัวเอง โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวนอกสภาฯ
**แต่ล่าสุดเมื่อผลสำรวจออกมาปรากฏว่า ชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่ให้การสนับสนุน มันก็ทำให้การเคลื่อนไหวที่เหมือนกับการ “ลากชาวบ้านลงสู่ท้องถนนมาเป็นตัวประกัน” เพื่อเอาตัวรอด ต้องลดน้ำหนักลงไปไม่น้อย !!
ทั้งนี้ท่าทีดังกล่าวก็เหมือนกับการแย้งแนวทางการเคลื่อนไหวในลักษณะที่ถูกมองว่าเป็นการ “ปลุกระดม”เพื่อกดดันศาลรัฐธรรมนูญ ทั้งก่อนและหลังการวินิจฉัยคดีเงินกู้ของพรรคอนาคตใหม่ ที่ศาลรัฐธรรมนูญมีกำหนดวันตัดสิน ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์นี้
ก่อนหน้านี้ทั้ง นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค และนายปิยบุตร แสงกนกกุล ได้แสดงท่าทีในลักษณะปลุกเร้ามวลชนว่า ให้ออกมาชุมนุมนอกสภาฯ หรือการชุมนุมเพื่อคัดค้านการยุบพรรคอนาคตใหม่ โดยพวกเขาอ้างว่า นี่คือการกลั่นแกล้ง หรือไปไกลถึงขั้นที่ว่า นี่คือเกมการเมืองในการขัดขวางไม่ให้พวกเขาได้ทำหน้าที่ในการซักฟอกรัฐบาลในญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ที่กำหนดเอาไว้ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์
โดยพวกเขายืนยันว่าจะไม่ลาออกจากกรรมการบริหารพรรคก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยคดียุบพรรค ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ เนื่องจากมั่นใจว่า พรรคอนาคตใหม่จะไม่ถูกยุบพรรคอย่างแน่นอน อย่างไรก็ดี หากผลออกมาเป็นลบ หรือถูกยุบพรรคพวกเขาก็จะออกมารณรงค์ด้านการเมืองนอกสภาฯ ต่อไป โดยอ้างว่าเป็นการเคลื่อนไหวเพื่อปฏิรูปการเมือง
**อย่างไรก็ดี สิ่งที่น่าจับตาก็คือการเคลื่อนไหวที่เชื่อมโยงกันของบางกลุ่มที่สนับสนุนพรรคอนาคตใหม่ และพรรคแกนนำของพรรคการเมืองพรรคนี้ที่กำลังรณรงค์เพื่อคัดค้านการยุบพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งแน่นอนว่า ย่อมถูกมองว่านี่คือความพยายามในการ“ดิ้นรนเอาตัวรอด”ของบางกลุ่มการเมือง เพื่อกดดันศาล ซึ่งในที่นี้ก็คือศาลรัฐธรรมนูญ ที่กำลังจะวินิจฉัยคดียุบพรรคในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
หลายคนมองว่าการเคลื่อนไหวแบบนี้ไม่ว่าจะเป็นการรณรงค์คัดค้านการยุบพรรค หรือการชุมนุมของผู้สนับสนุน และสมาชิกพรรคเพื่อกดดันนอกสภาฯ หรือแม้แต่การที่ให้บรรดาสมาชิกพรรคอนาคตใหม่ ยื่นฟ้องคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ที่ยื่นคำร้องยุบพรรคอนาคตใหม่ ก่อนหน้านี้ต่อศาลรัฐธรรมนูญ และนำไปสู่กำหนดวันวินิจฉัยคดีในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ไม่ต่างจากการใช้ “กฎหมู่เหนือกฎหมาย”
**การเคลื่อนไหวดังกล่าว ทำให้กูรูทางกฎหมายบางคนเห็นว่าเป็นการเคลื่อนไหวที่ไม่ถูกต้อง เพราะหากไม่เห็นด้วยกับการยุบพรรคอนาคตใหม่ก็ต้องไปรณรงค์ยกเลิกกฎหมายพรรคการเมือง มากกว่า ไม่ใช่เป็นการรณรงค์เพื่อขัดขวางการบังคับใช้กฎหมายแบบนี้
ที่ผ่านมา หากพิจารณาจากจุดเริ่มต้นของคดีนี้ ก็มีสาเหตุมาจากการเปิดเผยออกมาจากปากของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่เอง และต่อมาในระหว่างการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ก็มีเรื่องดังกล่าวปรากฏอยู่ด้วย และต่อมาบรรดาแกนนำของพรรคต่างก็ยอมรับ เพียงแต่พวกเขาอ้างในเรื่องกฎหมายพรรคการเมืองไม่ได้ห้ามในเรื่องการกู้เงินเอาไว้
ดังนั้น ไม่มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยในเรื่องข้อเท็จจริง มีเพียงการตัดสินในเรื่องข้อกฎหมายเท่านั้น ที่ศาลจะต้องวินิจฉัย ซึ่งในที่นี้เป็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญว่าจะวินิจฉัยออกมาตามข้อกฎหมายที่มีอยู่ โดยไม่อาจไปกดดันให้ออกไปทางใดทางหนึ่งได้เลย
อย่างไรก็ดี แม้ว่าหากพิจารณาจากความเคลื่อนไหวของบรรดาแกนนำของพรรคอนาคตใหม่ที่พยายามกดดันศาลรัฐธรรมนูญทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้ผลการวินิจฉัยออกมาในทางลบกับตัวเอง โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวนอกสภาฯ
**แต่ล่าสุดเมื่อผลสำรวจออกมาปรากฏว่า ชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่ให้การสนับสนุน มันก็ทำให้การเคลื่อนไหวที่เหมือนกับการ “ลากชาวบ้านลงสู่ท้องถนนมาเป็นตัวประกัน” เพื่อเอาตัวรอด ต้องลดน้ำหนักลงไปไม่น้อย !!