ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ต้องยอมรับว่า “ตัวละครสำคัญ” จากเหตุโศกนาฏกรรมที่จังหวัดนครราชสีมา ฝีมือ “ไอ้จ่าคลั่ง-จ.ส.อ.จักรพันธ์ ถมมา” ทหารสังกัดกองสรรพาวุธกระสุนที่ 22 กองบัญชาการช่วยรบที่ 2 ค่ายสุรธรรมพิทักษ์ กองทัพภาคที่ 2 มีอยู่ 2 คนด้วยกัน
คนแรกก็คือ “บิ๊กแป๊ะ-พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา” ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร..)
และคนที่สองก็คือ “บิ๊กแดง-พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์” ผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.)
ทว่า ทั้งสองคนมี “ผลลัพธ์” หรือ “เอฟเฟกต์” จากโศกนาฏกรรมโคราชแตกต่างกันไป กล่าวคือขณะที่ “บิ๊กแป๊ะ” ได้รับเสียงชื่นชมจากผู้คนทั้งแผ่นดิน “บิ๊กแดง” กลับถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจนแทบไม่มีที่ยืนถึงขั้นต้อง “หลั่งน้ำตา” กระทั่งต้องแก้เกมด้วยการเดินหน้า “ปฏิรูปกองทัพบก” แต่ก็ยังไม่ได้ทำให้สถานการณ์ดีขึ้นเท่าใดนัก
กลายเป็นกระแส “ชังทหาร-รักตำรวจ” ไปเสียอย่างนั้น
เริ่มจาก “บิ๊กแดง” ….
ด้วยความที่ “คนร้ายผู้ก่อเหตุ” เป็น “ทหาร” สังกัดกองสรรพาวุธกระสุนที่ 22 กองบัญชาการช่วยรบที่ 2 ค่ายสุรธรรมพิทักษ์ กองทัพภาคที่ 2 อันถือเป็น “ลูกน้อง” ใต้บังคับบัญชาของ ผบ.ทบ.
รวมไปถึง “ต้นสายปลายเหตุ” ที่คาดว่ามาจากการถูกเอารัดเอาเปรียบ “ผู้บังคับบัญชาในค่าย” นำมาซึ่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์เรื่องระบบการปกครอง และความเหลื่อมล้ำภายในกองทัพ
เพราะฉะนั้น การอธิบายให้สังคมเข้าใจจึงเป็นเรื่องที่ยาก
เปิดฉากด้วยการเอ่ยคำขอโทษตั้งแต่ต้น
“ขอโทษ และแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญครั้งนี้ที่มีผู้ก่อเหตุซึ่งเป็นกำลังพลของกองทัพบก” ผบ.ทบ.ระบุ
ก่อนจะลำดับเหตุการณ์โดยละเอียด และยืนยันว่าในระหว่างเกิดเหตุในค่ายทหารได้มีการแจ้งตำรวจ และพยายามระงับเหตุ โดยนายทหารในค่ายได้ใช้ปืนพกไล่ยิง จนผู้ก่อเหตุออกมาพ้นนอกค่าย และก่อเหตุกราดยิงประชาชนตามรายทาง และเข้าไปก่อเหตุที่ห้างสรรพสินค้าเทอร์มินอล 21 ในเวลาต่อมา
รวมไปถึงยอมรับด้วยว่า “เหตุจูงใจ” ของการก่อเหตุมาจากการ “ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากผู้บังคับบัญชาและเครือญาติ” โดย 2 ฝ่ายได้ซื้อขายที่ดินผิดสัญญากันในเรื่องผลตอบแทน โดยจะทำการสอบสวนต่อไปว่ามี “ผู้บังคับบัญชารายอื่นๆ” เกี่ยวข้องอีกหรือไม่
ระหว่างการแถลง “บิ๊กแดง” มีน้ำเสียงสั่นเครือ และหลั่งน้ำตาแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงเศร้าสลดต่อ “ภาพลักษณ์ของทหาร” ที่ตกต่ำอย่างหนักในยุคนี้ แต่ก็ไม่พ้นถูกวิจารณ์ว่า “แสดงไม่แนบเนียน” ไปเสียอย่างนั้น
การตอบรับของสังคมภายนอกรุมถล่ม สมดังที่ “พล.อ.อภิรัชต์” ปรารถนา ด้วยการยืดอกปกป้ององค์กรว่า อย่าด่าอย่าตำหนิกองทัพบก ให้มาตำหนิมาด่าตัวเองแทน
ทั้งการยอมรับและสั่งปรับปรุงมาตรการดูแลรักษาความปลอดภัยและป้องกันคลังอาวุธกระสุนมานานแล้ว ที่หละหลวม ก็ยังถูกมองว่า “วัวหายล้อมคอก”
และถ้าจะว่าไปการออกมาร่ายยาวร่วม 2ชั่วโมงก็เป็นสิ่งที่ทุกคนรับรู้อยู่แล้ว เพียงแต่กระหายใคร่รู้ว่า กองทัพบกจะแสดงความรับผิดชอบอย่างไร จะลากตัวคนที่เกี่ยวข้องมาลงโทษอย่างไร เพราะที่ผ่านมาเมื่อเกิดคดีความ เช่น ทหารเกณฑ์ถูกลงโทษเกินกว่าเหตุจนเสียชีวิต สังคมไม่ใคร่จะได้เห็นการลงโทษให้เป็นที่ประจักษ์สักเท่าไหร่
ขณะที่ความหละหลวมในเรื่องมาตรการการรักษาความปลอดภัยภายในค่ายทหาร โดยเฉพาะ “คลังอาวุธ” ที่ถูกชิงอาวุธสงครามออกมาอย่างง่ายดาย หรือการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่ปล่อยให้ผู้ก่อเหตุพ้นออกจากค่ายทหาร การปะทะกันที่ “วัดป่าศรัทธารวม” ซึ่งมีผู้เสียชีวิตหลายรายและไม่ปรากฏว่ามี “ทหาร” ร่วมสกัด “ไอ้จ่าคลั่ง” ไปจนถึงห้างสรรพสินค้า ทำให้ความเสียหายขยายวงกว้างไปเกินกว่าจะควบคุมได้ ก็ยังคงมี “คำถาม” ที่ค้างคาใจ
ดังนั้น จงอย่าแปลกใจว่า ทำไมถึงมีเสียงเรียกร้องถึงขั้นให้ “บิ๊กแดง” ลาออก เพื่อรับผิดชอบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเลยทีเดียว
ตัว “บิ๊กแดง” เองก็รับรู้ถึงกระแสดังกล่าว จึงได้นัดหมายเปิดห้องรับรองภายในกองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) เพื่อแถลงข่าวใหญ่ และตอบข้อซักถามจากสื่อมวลชน
หรือประเด็น “แต่งเต็มยศ” ไปที่หน้างาน ก็ถูกกระหน่ำเละเทะ โดยไม่สนใจว่า “บิ๊กแดง” เพิ่งไป “ภารกิจใด” มา
อีกทั้งยังถูก “สังคมออนไลน์” หยิบเอา “วรรคทอง” ที่ระบุว่า “ณ นาที ณ วินาทีที่ผู้ก่อเหตุได้ลั่นไกสังหารคู่กรณี ณ วันนั้น ณ นาทีนั้น เขาคืออาชญากร ไม่ใช่ทหารอีกต่อไปแล้ว” ด้วยเห็นว่าเป็น “ตรรกะ” ที่ไม่ถูกต้อง เพราะเป็นการแสดงให้เห็นถึง “ความไม่รับผิดชอบ”
วรรคทองดังกล่าวนำมาล้อเลียนกันอย่างสนุกสนานให้เห็นดาษดื่นในโลกออนไลน์ เช่น “วินาทีที่ถั่วเขียวมีรากงอกออกมา ณ วินาทีนั้น เค้าคือถั่วงอก ไม่ใช่ถั่วเขียวอีกต่อไปแล้ว” เป็นต้น
จนต้องยอมรับว่า การแถลงข่าวกว่า 2 ชั่วโมงของ “ผบ.แดง” แทนที่จะทำให้สถานการณ์ “ดีขึ้น” กลับทำให้ “แย่ลง” ไปอีก
ไม่นับรวมถึงในวันถัดมาที่ “บิ๊กแดง” เดินจูง “เจ้าซีบร้า” หมาทหารมาร่วมร่วมทดสอบร่างกายประจำปีงบประมาณ 2563 ที่ถูกวิจารณ์ว่า “จะมาโชว์ความฟิตอะไรวันนี้”
แถมเมื่อกลับจากทดสอบก็มีประเด็น “ดรามา” ตามมา เมื่อ “บิ๊กแดง” เขียนข้อความสั้นๆ แสดงความรู้สึก แล้ว ส่งต่อให้คนใกล้ชิดและสื่อมวลชนได้อ่าน ความว่า...
“สุนัขทหารยังรู้จักสำนึกบุญคุณกองทัพบกรู้สึกรัก และหวงแหน มีความรับผิดชอบในสิ่งที่ถูกฝึกมาให้ปฏิบัติหน้าที่ เช่น ตรวจหาวัตถุระเบิด ค้นหายาเสพติด เฝ้าสถานที่สำคัญ หรือปกป้องเจ้านาย เขาจะดุจะเห่าคนแปลกหน้า หรือหากพบสิ่งผิดสังเกต เพื่อนๆของซีบร้า เคยเสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ และซีบร้า เขาก็รู้ว่าผมคือผู้บังคับบัญชาเขา ถึงแม้เราจะพบกันเป็นครั้งแรก ซีบร้าเขาไม่เห่าพร่ำเพรื่อ มีมารยาท และมีความรับรู้ ถึงความรู้สึกของมนุษย์ เช่น ทหารที่เลี้ยงดูเขาเป็นอย่างดี
“ถ้าเจ้าซีบร้า สุนัขทหารตัวนี้พิมพ์ twitter เป็น เล่น facebook เล่น IG ได้คงสนุกแน่ ถ้าเจ้า ซีบร้า อ่านหนังสือออก มันคงมองเห็นพวกที่โพสต์ข้อความที่สร้างให้เกิดความเกลียดชังกัน ในระหว่างเพื่อนมนุษย์ โพสต์ข้อความชังชาติ เจ้า ซีบร้า ก็คงอยากเป็น ซีบร้า เหมือนเดิม คงกลัวที่จะกลายเป็นมนุษย์พวกนั้น”
คงไม่ต้องอธิบายกระมังว่า “บิ๊กแดง” จะโดนสวนกลับว่าอย่างไร เมื่อนำ “คน” ไปเทียบกับ “หมา” และก่นด่า “เกรียนคีย์บอร์ด” ว่า “ชังชาติ”
ขณะที่ความพยายามในการ “แก้เกม” ของ “บิ๊กแดง” ด้วยการเดินหน้า “ปฏิรูปกองทัพ” แม้จะได้รับเสียงชื่นชมจากประชาชนทั้งบ้านทั้งเมือง เพราะเป็น “ก้าวที่กล้า” แต่กับ “เพื่อนพ้องน้องพี่” อาจไม่ใช่ เพราะการจัดระเบียบหรือการปฏิรูปดังกล่าวไม่ต่างอะไรจาก “การทุบหม้อข้าวตัวเอง”
ยิ่งมาทำในช่วงใกล้จะ “เกษียณอายุราชการ” ก็ยิ่งทำให้ “คนที่อยู่” อึดอัดอยู่ไม่น้อย
และจะว่าไปก็ถือเป็นการทำลายแนวคิด “ไม่ฆ่าน้อง ไม่ฟ้องนาย ไม่ขายเพื่อน” ที่ปกคลุมอาณาจักรสีเขียวมาเป็นเวลาช้านานอีกต่างหาก ซึ่งสุ่มเสี่ยงทำให้ “บิ๊กแดง” ตกอยู่ในสถานการณ์ “โดดเดี่ยว” หนักกว่าที่เป็นอยู่
ก็ไม่รู้ว่า “พี่ๆ น้องๆ” จะเข้าใจ “บิ๊กแดง” กับความพยายามในการปฏิรูปหรือไม่
เอาแค่หลังโศกนาฏกรรมที่โคราช ก็ยังไม่ปรากฏเลยว่า มี “ใคร” อยู่เคียงข้าง “บิ๊ก แดง” บ้าง
เพราะฉะนั้น นี่จึงนับเป็น “บททดสอบ” ครั้งสำคัญของ “บิ๊กแดง” ว่าจะฝ่าฟันสถานการณ์อันวิกฤตนี้ได้หรือไม่ โดยเฉพาะ “อนาคต” หลังเกษียณอายุราชการ ซึ่งเป็นที่จับตามาอย่างต่อเนื่องว่าจะ “สดใส” ก็อาจกลายไปในอีกทางหนึ่งจาก “การแก้ไขสถานการณ์” ที่ไม่ถูกใจประชาชน
โดยเฉพาะในยามที่ “บิ๊กแดง” ต้องเผชิญกับบรรยากาศ “ชังทหาร” ด้วยความอึดอัดที่ประเทศไทยอยู่ภายใต้การปกครองของ “รัฐบาลทหาร” มากว่า 6 ปี ซึ่งเป็นเรื่องที่ “น่าเห็นใจ” อยู่ไม่น้อย
“คม” ของ “บิ๊กแดง” ณ เวลานี้ แม้แต่จะใช้ปอกมะม่วงก็คงยากอยู่ไม่น้อย...
ตรงกันข้ามกับนักเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 20 (ตท.20) อย่าง “บิ๊กแป๊ะ” พล.ต.อ.จักทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ซึ่งเป็น “ผู้บัญชาการเหตุการณ์” ตามกฎหมาย ที่ได้รับเสียงชื่นชมอื้ออึง
ข้อวิจารณ์เชิงลบที่มีต่อ “ผบ.ทบ.” ถูกนำไปเปรียบเทียบกับ “ผบ.ตร” อย่าง “บิ๊กแป๊ะ-พล.ต.อ.จักรทิพย์” ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น “ฮีโร่” จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แม้จะออกตัวว่าไม่ได้ใช้เสื่อสังคมออนไลน์ใดๆ แต่ “บิ๊กแดง” ก็รับรู้ได้ถึง “กระแส” ที่เกิดขึ้น จนต้อง “โหนเพื่อน” กล่าวถึง “เพื่อนแป๊ะ” ในการแถลงข่าวว่า
“ผม และ ผบ.ตร. ร่วมทำงานกันมา เติบโตกันมาตั้งแต่ผมยังเป็นนายทหารชั้นผู้น้อย และเขาเป็นนายตำรวจชั้นผู้น้อย เราผ่านวิกฤตสถานการณ์หลาย ๆ อย่างมาด้วยกัน เราทำงานให้เกียรติซึ่งกันและกัน เราเคารพการตัดสินใจซึ่งกันและกัน ทั้งนี้เพื่อประโยชน์สูงสุดคือการรักษาชีวิตของประชาชน”
มองอย่างให้ความเป็นธรรม เสียงชื่นชมเจ้าหน้าที่ตำรวจ และตัว “ผบ.แป๊ะ” ในฐานะผู้บัญชาการเหตุการณ์อย่างอื้ออึงนั้น ก็ด้วยเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นนั้น อยู่เขตอำนาจของ “ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์” โดยตรง
แม้ “บิ๊กแดง” จะสั่งการให้กำลังพลมาสแตนด์บาย และตัวเองพร้อมรับตำแหน่ง “ผู้ช่วยเจ้าพนักงาน” ก็ตาม
ก็เลยกลายเป็นเวทีให้ “ตำรวจ” โชว์ฟอร์มเป็น “ฮีโร่” อีกครั้ง หลังจากเสียงชื่นชมจากเหตุการณ์ “ผอ.กอล์ฟ” ชิงทองสังหารโหดที่ จ.ลพบุรี ยังไม่สร่างซาดี
ที่สำคัญสปอตไลท์จับจ้องมาที่ “จักรทิพย์” ซึ่งเปิดหัวปีชวด ถูก “ขบวนการฝ่ายตรงข้าม” รุมถล่ม ประเคน “ข่าวลบ” อย่างต่อเนื่อง
ทิศทางข่าวทั้ง “เพจดัง- เพจใหม่” หรือสายหลักอย่าง “สำนักข่าวใหญ่-รอง” ต่างพร้อมใจกันทำสกู๊ปพิเศษชื่นชม “ผบ.ตร.” ย้อนประวัติความเป็นมา และการทำงานที่ได้ใจประชาชน ตั้งแต่เหตุการณ์ช่วยเด็กๆ ทีมหมูป่าติดอยู่ภายในถ้ำหลวง คลี่คลายคดี ผอ.ชิงทองที่ลพบุรี มาจนถึงเหตุโศกนาฏกรรมที่โคราช
“ผู้บังคับบัญชา ต้องทำตัวเป็นปุ๋ย ไม่ใช่ยาฆ่าแมลง ไปตรงไหน จะเจริญงอกงาม ไม่ใช่ ไปที่ไหน ที่นั่น ตาย”
ประโยคเด็ดเมื่อครั้ง “บิ๊กแป๊ะ” รับตำแหน่ง ผบ.ตร.ใหม่ๆ ถูกนำมาเผยแพร่และส่งต่อในโลกโซเชียลอย่างไม่ขาดสาย
ก็จะไม่ให้ถูกใจประชาชีได้อย่างไร ก็ในเมื่องานนี้ “บิ๊กแป๊ะ” พูดน้อยต่อยหนักด้วยการมาใน “ชุดคอมมานโด พร้อมอาวุธครบมือ” ลงพื้นที่เพื่อบัญชาการด้วยตัวเอง โดยรายงานตรงกันว่า ได้เข้าไปสั่งการภายในห้างเทอร์มินอล 21 ตั้งแต่ช่วง 3 ทุ่มของคืนเกิดเหตุ และออกมาอีกทีหลังเสร็จสิ้นภารกิจ โดยไม่ให้สัมภาษณ์ใดๆ จนผู้คนนำไปเปรียบเทียบกับ “เครื่องแบบบิ๊กแดง” ที่นั่งอยู่ข้างๆ และปรากฎอยู่ในเฟรมเดียวกันไม่ได้ไม่ได้
ที่สำคัญคือมีภาพและคลิปเป็นประจักษ์พยานให้เห็นว่า “ผบ.ตร.” ประจำการอยู่ “แนวหน้า” ร่วมกับลูกน้องโดยตลอด โดยเฉพาะแอ็กชั่นในจังหวะนำทีมสั่งการปิดฉากผู้ร้ายกราดยิงโคราช ด้วยสัญลักษณ์มือ “เป้าหมายอยู่หลังเสา”
อีกทั้งยังมี “ช็อตเด็ด” ที่ “พ่อแป๊ะ” ร่วมเฟรมกับ “สารวัตรฮัท” ร.ต.อ.ชานันท์ ชัยจินดา สารวัตร กองกำกับการ 3 กองบังคับการสนับสนุนทางอากาศ กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) บุตรชายคนโต อีกด้วย
ต้องไม่ลืมว่า ช่วงที่ผ่านมาที่มรสุมใน “สตช.” เริ่มสงบลง หลังมีการโยกย้าย 2 นายตำรวจใหญ่ ชื่อของ “สารวัตรฮัท” ถูก “สื่อบางค่าย” หยิบขึ้นมาเป็นประเด็นโจมตี “บิ๊กแป๊ะ” โดยพยายามชี้ให้เห็นว่าการแต่งตั้ง “ลูกฮัท” ให้เป็นนายตำรวจระดับสารวัตร ทั้งที่ยังดำรงตำแหน่งรองสารวัตรไม่ครบ 7 ปี เป็นการกระทำที่ขัดต่อตามหลักเกณฑ์เรื่องความอาวุโสของ สตช.
อีกด้านก็มีข้อมูลหลั่งไหลออกมาว่า “สารวัตรฮัท” ได้ขึ้นตำแหน่งเร็ว ด้วยความสามารถ ไม่ได้เชลียร์ใครขึ้นมา ย้ำชัดด้วยภาพการร่วมลงพื้นที่ปฏิบัติงานเสี่ยงอันตรายกับ “พ่อแป๊ะ” ในครั้งนี้
ตั้งแต่การคลี่คลายคดีที่ จ.ลพบุรี มาถึงเหตุการณ์ที่โคราช จึงถือว่า “บิ๊กแป๊ะ” สามารถ “พลิกวิกฤตเป็นโอกาส” ทั้งทางส่วนตัว และยังสามารถขับภาพ “องค์กรตำรวจ” เป็นองค์กรของ “ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์” ได้อย่างแท้จริง
ถือเป็น “ยุคทอง” หรือเป็นห้วงเวลาที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ตำรวจเลยก็ว่าได้
วันนี้ ดูเหมือนว่า “บิ๊กแป๊ะ” จะมีอนาคตหลังเกษียณอายุราชการ “สดใส” และ “คมชัด” กว่า “บิ๊กแดง” เสียแล้วกระมัง.