โดย ดร.เสรี พงศ์พิศ
การฆ่าหมู่ทั่วโลกตั้งแต่ปี 1967 ถึง 2019 หนึ่งในสามเกิดขึ้นที่สหรัฐอเมริกา 10 ปีที่ผ่านมาเกิดขึ้นถี่และรุนแรงมากขึ้น มีการยิงฆ่าหมู่ตายไป 475 คน บาดเจ็บ 882 คน
กลับไปดู 4 ปีที่ผ่านมามีการยิงฆ่าหมู่ครั้งละมากกว่า 10 คน จำนวน 8 ครั้ง ตาย 207 คน เมื่อปี 2016 ที่ออร์ลันโดตาย 49 คน ปี 2017 ยิงจากโรงแรมที่ลาสเวกัส เนวาดาตายไป 58 คน ที่โบสถ์ที่เท็กซัสตาย 26 ปี 2018 เกิดหลายครั้ง ที่โบสถ์ของชาวยิว พิตสเบิร์กตาย 11 ที่โรงเรียนมัธยมที่ฟลอริดาตาย 17 คน ที่แคลิฟอร์เนีย ในบาร์ตาย 12 คน
ปี 2019 เดือนพฤษภาคม ที่เวอร์จิเนียตาย 12 คน สิงหาคม ในห้างวอลล์มาร์ทตาย 22 ส่วนที่มีการยิงตายต่ำกว่า 10 ในแต่ละปีมีอีกหลายครั้ง อย่างปีนี้ แค่เดือนมกราคมเดือนเดียวมีการยิง 28 ครั้ง ตาย 38 คน บาดเจ็บ 112 คน เดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ จากวันที่ 1 ถึง 10 ยิง 10 ครั้ง ตาย 18 คน บาดเจ็บ 25
ทุกครั้งนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีมักบอกว่า “โรคจิตและความเกลียดชังต่างหากที่เป็นเหตุ ไม่ใช่ปืน” เพราะเขาเป็นคนสนับสนุนกฎหมายอาวุธปืนในสหรัฐอเมริกาที่ทำให้คนมีอาวุธนี้ได้ไม่ยาก อ้างว่าเพื่อป้องกันตัว ความจริงเป็นธุรกิจใหญ่และมีอิทธิพลมาก เป็นกลุ่มที่สนับสนุนเขา
การสรุปบทเรียนจากการฆ่าหมู่ในสหรัฐอเมริกาและงานวิจัยต่างๆ นักจิตวิทยาเชื่อว่า สาเหตุหลักไม่ได้มาจากปัญหาทางจิต เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ประเทศอื่นๆ ก็น่าจะมีการยิงกันตายหมู่พอๆ กับที่สหรัฐฯ เพราะคนมีปัญหาทางจิตก็มีไม่น้อยกว่ากัน
การสรุปว่า คนร้ายมีปัญหาทางจิตเท่ากับ “โยนบาป” ให้คนป่วยและคนที่มีปัญหาทางจิต ทำให้เกิด “ตราบาป” ที่สหรัฐอเมริกาผู้ใหญ่ 1 ใน 5 หรือ 46 ล้านคน มีปัญหาทางจิต จากน้อยไปหามาก นักวิชาการจึงยังยืนยันว่า การที่คนมีอาวุธปืนได้ง่ายเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งของการฆ่าหมู่
ผลการวิจัยมากมายทั้งจากนักวิชาการและจากหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวกับอาชญากรรมพอสรุปได้ว่า คนร้ายที่ฆ่าหมู่ประมาณร้อยละ 20 มีอาการทางจิตแตกต่างกันไป จากแบบอ่อนๆ เครียด มีความกดดันหนัก ไปถึงขั้นประสาทหลอนและเป็นโรคจิต
ปัจจัยสำคัญของฆาตกรรมหมู่มาจากความโกรธ เกลียด เคียดแค้น ได้รับความไม่เป็นธรรม ถูกเอาเปรียบ ถูกกดขี่ข่มเหงสั่งสมมานานจนระเบิดเป็นความรุนแรง อาจมาจากการงาน ความสัมพันธ์ทางธุรกิจ ผลประโยชน์ กับคนรัก การฆ่าหมู่ทุกครั้งไม่ได้เกิดขึ้นทันทีทันใด แต่มีการวางแผนเป็นเวลานาน
เป็นเรื่องของคน “ปกติ” ธรรมดา ซึ่งงานวิจัยหลายชิ้นได้แสดงให้เห็นสาเหตุที่มาจากความโกรธ ความเกลียด ความแค้น อยากเอาคืน เพราะถูกกระทำมานาน ซึ่งมักเกิดในโรงเรียนในสหรัฐอเมริกาที่มีการล้อเลียน การข่มเหงรังแกระหว่างนักเรียนด้วยกัน กลายเป็นปมด้อยที่นักจิตวิทยาบางสำนักบอกว่า ทำให้อยากทำอะไรสักอย่างเพื่อแสดงอำนาจ แสดงปมเขื่องและความเหนือกว่าคนอื่นที่รังแกตน
หลังเกิดเหตุ มีการสัมภาษณ์ญาติพี่น้อง คนใกล้ชิด เพื่อน เพื่อนบ้านผู้ก่อเหตุฆ่าหมู่ในสหรัฐอเมริกา มักพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เป็นคนเรียบร้อย ไม่เคยแสดงความก้าวร้าวรุนแรงกับใคร แรกๆ ได้ข่าวจะไม่เชื่อ แปลกใจมากที่ไปก่อเหตุแบบนั้นได้
มีงานวิจัยพยายามหาสาเหตุอื่นๆ เช่น วิดีโอเกม อีสปอร์ต เป็นสาเหตุหรือไม่ พบว่ามีน้อยมาก จนไม่น่าจะเป็นปัจจัยสำคัญ เพราะถ้าเป็นสาเหตุให้มีการฆ่าหมู่ในอเมริกาจริงก็น่าจะเกิดการฆ่าหมู่ในเอเชียมากกว่า เพราะมีคนติดเกมมากกว่าในอเมริกา
นักจิตวิทยาจึงออกความเห็นว่า คนที่ก่อเหตุร้ายเป็น “คนธรรมดา” จึงเป็นการยากมากที่จะบอกว่า ใครจะไปฆ่าใครที่ไหน งานสำรวจความเห็น 5,000 คน ของอาจารย์จิตวิทยาที่มหาวิทยาลัยออสตินเท็กซัส (David Buss : The Murder Next Door : Why the Mind is Designed to Kill) พบว่า ผู้ชายร้อยละ 91 ผู้หญิงร้อยละ 84 เคยคิดจะฆ่าคนอื่น แบบเจาะจงคนและวิธีการ
นักจิตวิทยาบอกว่า สมองของคนเราระวังอันตรายและอาจเป็นฝ่ายกระทำเพื่อตอบโต้อันตรายที่คิดว่ากำลังจะเกิดขึ้นด้วยกลไกป้องกันตัว หรือสัญชาตญาณ คนเราทุกคนมีความสามารถที่จะก่อความรุนแรงในบางสถานการณ์เพื่อความอยู่รอด
ดูเหตุการณ์การทะเลาะวิวาท การยิงกันฆ่ากันกลางถนน ปฏิกิริยาในจราจรติดขัด เครียด หงุดหงิด โกรธที่มีคนขับรถปาดหน้า ด่า บีบแตรไล่ ก็ตอบโต้ทันทีด้วยความรุนแรง ดูอาชญากรรมที่เกิดจากความโกรธมีมากมาย จนไม่น่าเชื่อว่า คนซื่อๆ ธรรมดาจะก่อเหตุได้
การฆ่ากันตายในบ้านเราตัวเลขสูงน่ากลัว ทั้งในครอบครัว ในชุมชน กลางถนน ในที่สาธารณะ ที่มาสาเหตุก็คงคล้ายกัน ไม่ว่าฆ่าเดี่ยวหรือหมู่ คือสะสมและผสมกันหลายอย่างหลายปัจจัย
เหตุการณ์ที่โคราชสะเทือนขวัญบ้านเราอย่างหนัก เพราะเป็นครั้งแรก เคยเห็นแต่ในหนังและได้ฟังข่าวจากประเทศอื่น และพอดีเกิดในยุคสื่อโซเชียล ผู้คนจึงติดตาม เอาใจช่วย วิพากษ์วิจารณ์หาสาเหตุ
ข้อสรุปที่โคราชไม่ต่างจากบทเรียนทั่วโลก ที่ฆ่ากันด้วยเหตุหนึ่งเพราะความโกรธแค้นที่ถูกกระทำอย่างไม่เป็นธรรม ถูกดูถูกดูหมิ่น สบประมาทว่าไม่มีทางสู้ (อยากได้ไปฟ้องเอา) ไม่มีที่พึ่งอื่นไม่ว่ากฎหมายหรือเส้นสายผู้ใหญ่ที่ไม่ให้ความเป็นธรรม เข้าข้างผู้ข่มเหงรังแก
ในอดีต เมื่อมีการกดขี่จากอำนาจรัฐก็เกิดกบฏ จึงมีผีบุญตลอดประวัติศาสตร์ วันนี้ไม่มีผีบุญเป็นที่พึ่ง บางคนจึงพึ่ง “ผีร้าย” (ปืน)
ยาแก้ปัญหาความรุนแรงในสังคมดีที่สุด คือ ความยุติธรรม บ้านเมืองใดปกครองโดยธรรม ไม่มีความเหลื่อมล้ำ ไม่มีการเบียดเบียนกัน ไม่มีใครฆ่าใคร ผู้คนจะอยู่เย็นเป็นสุข