รายการ “ข่าวลึก ปมลับ” ออกอากาศทาง NEWS1 ล้วงปมลึก คลายปมลับ ตีแผ่ประเด็นร้อน กับ นพรัฐ พรวนสุข บก.ข่าวการเมือง และกระบวนการยุติธรรม วันจันทร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2563 ตอน หยุด! เหตุโศกนาฏกรรม ถอดบทเรียนฆ่าหมู่โคราช
เหตุการณ์โศกนาฏกรรม ที่โคราช นครราชสีมา จากกรณีที่ จ. ส. อ. จักรพันธ์ ถมมา ทหารสังกัดกองทัพภาคที่2ก่อเหตุสังหารคนตาย30ราย บาดเจ็บอีกกว่าครึ่งร้อย เป็นการก่อเหตุคนเดียวในวันเดียว แต่เกิดความสูญเสียอย่างน่าสลดใจที่สุด
ทั้งยังเกิดเรื่องในวันที่8 ก. พ. ตรงกับวันมาฆบูชา พอดี ซึ่งแทนที่จะละเว้นการทำชั่ว แต่กลับเกิดการเข่นฆ่าเอาชีวิตกันอย่างโหดเหี้ยม จ่าทหารโหดเริ่มการฆ่าที่ค่ายทหาร โดยยิงผู้บังคับบัญชา และผู้หญิงอีกหนึ่งคนตาย ซึ่งรู้สาเหตุภายหลังว่า มีปมขัดแย้งกัน เรื่องเงินแค่50,000 บาท เท่านั้น
จากนั้น ฆาตกรก็คลุ้มคลั่งหนัก ปล้นปืนอาวุธสงคราม หลายกระบอก พร้อมกระสุนเกือบพันนัด ขโมยรถฮัมวี่ ขับออกมาระหว่างทาง ก็สาดกระสุนกราดยิงคนไปตามทาง จนถึงห้างเทอมินัล21 โคราช
มาถึงก็เข้ายึดห้างสรรพสินค้าเป็นทุ่งสังหาร จ่าทหารโหดเปิดฉากยิงไม่เลือกหน้า พร้อมกับเปิดเฟซบุ๊กไลฟ์สดไปด้วย กว่าที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะจบตายจ่าทหารโหดต้องใช้เวลากว่า17 ชั่วโมง
หลังจากเหตุการณ์ที่เมืองโคราชเป็นข่าวดังไปทั่วโลก ได้มีความห่วงใยกันว่า ความปลอดภัยในที่สาธารณะของคนไทยเข้ามาถึงจุดต่ำลงเรื่อยๆ เพราะมีเหตุความรุนแรงเกิดขึ้นบ่อย และจบลงด้วยการสูญเสียชีวิตของผู้บริสุทธิ์ ซึ่งก่อนหน้านี้ ก็มีเหตุคนร้ายบุกชิงทองร้านทองที่จ. ลพบุรี
คนร้ายที่เป็นครู ตำแหน่งผู้อำรวยการโรงเรียน ได้ลั่นกระสุนปืนติดเครื่องเก็บเสียงปลิดชีวิตคนบริสุทธิ์ไปสามศพ เป็นเหตุที่คล้ายกันและห่างกันเดือนเดียว หากแต่คราวนี้อุกฉกรรจ์อำมหิตรุนแรงมากกว่า จนกลายเป็นสัญญาณเตือนว่า
ภัยสาธารณะในเมืองไทย อันเกิดจากอารมณ์และจิตใจคนเสื่อมลง เป็นภัยร้ายเข้าขั้นอันตรายแล้ว เป็นปัญหาที่จะต้องหาทางป้องกันอย่างรีบด่วร จะเห็นไฝว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกไม่ได้แล้ว
หลังเหตุการณ์นี้ มีประเด็นที่น่าสนใจมาก และที่ต้องคิดกันก็คือ จะเกิดลัทธิเอาอย่าง การลอกเลียนแบบ เหตุร้ายจะอุบัติซ้ำขึ้นมาอีก เพราะเป็นเรื่องที่จะมีคนเอาเป็นแฟชั่น
เพราะจากเหตุครั้งนี้ คนร้ายมันยิงคนไปไลฟ์สดไป ด้วยใบหน้าและอาการระรื่น เหมือนกำลังสร้างวีรกรรมฝากไว้กับแผ่นดิน
เรื่องนี้ถ้าหากจ่าอำมหิตทำคนเดียว โชว์ไลฟ์ไปเองคนเดียว ยังพอเข้าใจได้ เพราะว่ามันเพี้ยนเป็นโรคจิตไปแล้ว แต่ที่ไม่อยากเชื่อคือ มีพวกเอฟซี. คอยติดตามเชียร์กันอย่างไร้สติ ติดตามเชียร์กันอย่างสะใจ ด้วยอารมณ์วิปลาสเมามัน
ตรงนี้ต่างหากที่เป็นเรื่องประหลาดน่าเป็นห่วงมากว่า สังคมไทยบ้ากันไปไกลถึงขนาดนี้แล้วหรือ ที่เอาเหตุการณ์ไล่ล่าชีวิตคน เอาความรุนแรงเข่นฆ่าล้างชีวิตคนเป็นเรื่องสนุก รับเอาการฆ่าแกงเป็นเรื่องของความโก้เก๋ เอาฆาตกรใจเหี้ยมผิดมนุษย์ มายกย่องเป็นไอดอล?!?
เหตุการณ์นี้เป็นอุทาหรณ์ที่ต้องนำมาถอดบทเรียนให้มีความตระหนักถึงปัญหาที่จะเกิดซ้ำอีก โดยเฉพาะพวกที่จะเป็นพวกเลียนแบบ จะทำอย่างไร หยุดคนไม่ให้เลียนแบบเหตุการณ์ทำนองนี้
แนวทางป้องกันที่พูดกันมากก็คือ สื่อสารมวลชนทุกแขนง ต้องงดการเสนอภาพคนร้ายเพื่อไม่ให้เกิดภาพจำ ซึ่งประเด็นนี้สื่อหลักคงระมัดระวังกันมากอยู่แล้ว ที่จะไม่นำภาพคนร้ายมาลงสื่อจนกลายเป็นวีรบุรุษ
แต่ปัญหาเรื่องนี้ก็อยู่ที่ทางสื่อสังคมในโซเชี่ยลมีเดีย จะยอมฟังหรือไม่ เพราะสังคมข่าวสารยุคไร้สายเช่นวันนี้ อำนาจในการกำหนดประเด็นข่าวไม่ได้อยู่ในมือสื่ออาชีพแล้ว แต่อยู่ที่สื่อสังคมในช่องทางต่างๆต่างหาก
ปัญหาจึงอยู่ที่ใครจะไปจัดการได้ คนทั่วไปคงทำได้แค่ข่วยกันตรวจสอบร้องขอกันไป เชื่อก็ดี ไม่ฟังก็เลิกคบกันไปเท่านั้น
แต่ที่จะทำได้ผล สามารถควบคุมกันได้ในการใช้สื่อสังคม ก็คือหน่วยราชการ ที่จะต้องตรวจสอบการใช้สื่อออนไลน์ของคนในสังกัด ว่ามีความเคลื่อนไหวในโลกเสมือนจริง มีพฤติกรรมความคิดแสดงออกมา เป็นอย่างไร
สามารถส่องดูว่า มีความคิดหรือมีปัญหาผิดปกติหรือไม่ ถ้าส่องดูจริงจังก็จะมีโอกาสรู้ความเป็นอยู่ของคนในสังกัด ถ้ามีความผิดปกติก็เรียกมาจัดการ ก่อนที่จะไประบายแค้นทำผิดกับสังคมข้างนอก
โดยเฉพาะ ทหารและตำรวจ หรือหน่วยงานที่ติดอาวุธ เป็นกลุ่มที่ต้องเน้นเป็นพิเศษ เพราะการเกิดปัญหาเช่นกรณีจ่าจักรพันธ์ แม้ว่าเป็นการลงมือทำคนเดียว แต่ความเสียหายเกิดต่อชีวิตและทรัพย์สินของคนจำนวนมาก เป็นความสูญเสียที่สุดจะเยียวยาได้
ดังนั้น จึงต้องมีมาตรการป้องกันคนมีสีทั้งหลาย ไม่ให้ ถืออาวุธสงครามพร้อมกระสุนแล้วนำไปก่อเหตุรุนแรง
ซึ่งมีคนให้ความเห็นที่ดีว่า หน่วยทหารที่มีอาวุธสงครามและอาวุธหนัก เช่นค่ายทหารที่เกิดเหตุ ควรจะต้องเก็บอาวุธเหล่านี้ไว้ในคลังอาวุธอย่างดี มีการตรวจตราอย่างเข้มแข็ง เพื่อป้องกันไม่ให้มีการขนอาวุธออกมาประทุษร้ายคนอื่นได้
ประเด็นเก็บอาวุธให้ปลอดภัยจากมือคน ทางกองทัพน่าจะทบทวนเรื่องนี้เสียใหม่ ให้มีปลอดภัยมิดชิดยิ่งกว่าที่เป็นอยู่ หากนำไปทำได้ก็น่าจะอุ่นใจได้กว่าเดิม
สำหรับประชาชนทั่วไป ยุคนี้ใครก็มีสิทธิ์บ้าเป็นคนก่อเหตุร้ายได้เหมือนกัน เพราะสังคมกำลังเครียด ประชาชนมีปัญหารุมเร้าหลายด้าน อาจจะสติแตกขึ้นมาวันไหนเวลาใดก็ได้ ซึ่งอาจจะก่อเหตุโศกนาฏกรรมได้เช่นกัน
และเมืองไทยก็เป็นประเทศสุ่มเสี่ยงมาก ที่จะเกิดการใช้ปืนไล่ยิงกันในที่สาธารณะ เพราะมีผลสำรวจออกมาเมื่อไม่นานนี้ว่าประเทศไทย คนมีปืนอยู่ในความครอบครองถึง10 ล้านกระบอก
โดยข้อมูลจากการวิจัยระบุว่า เป็นปืนที่ถูกต้องมีใบอนุญาตตามกฎหมายให้เป็นเจ้าของ 6 ล้านกระบอก ส่วนที่เหลืออีก4 ล้านกระบอกเป็นปืนเถื่อน
สถิติคนไทยใช้ปืนยิงกันตายปี2559 มากถึง3300 คดี และเมื่อเทียบสถิติการฆ่ากันตายโดนใช้ปืนเป็นอาวุธ ไทยเป็นอันดับสองรองจากฟิลิปปินส์ เป็นตัวเลขที่เห็นแล้วก็น่ากลัวไม่น้อย
ยิ่งเมื่อสังคมเสื่อมโทรมลง โอกาสจะมีใช้ปืนยิงกันก็จะมีตัวเลขพุ่งสูงขึ้น ดังนั้นจึงควรจะมีการรื้อระบบการอนุญาตการเป็นเจ้าของอาวุธกันใหม่ ไม่ใช่อนุญาตให้ซื้อขายกันสะดวกง่ายดายเหมือนที่เป็นอยู่
โศกนาฏกรรมที่โคราช จะป้องกันไม่ให้มีรายต่อไปได้ ก็ต่อเมื่อทุกภาคส่วนต้องรวมมือกัน ช่วยกันรับผิดชอบควบคุมสอดส่องดูแล แก้ไขปัญหาก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป