xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

เทียบปอนด์ต่อปอนด์ “โจ๊ก-ลูกแป๊ะ” ทั่นนายพลหวานเจี๊ยบ “โตเร็ว” ปานจรวด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


“ผู้กองฮัท-ร.ต.อ.ชานันท์ ชัยจินดา”
ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - การที่อยู่ๆ ปรากฏข่าว “ผู้กองฮัท-ร.ต.อ.ชานันท์ ชัยจินดา” บุตรชายคนโตของ “บิ๊กแป๊ะ-พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา” ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ถูกกล่าวหาว่า “การแต่งตั้งโยกย้ายไม่เป็นธรรม” ด้วยข้ามหัวนายตำรวจรุ่นพี่ขึ้นมาเป็นใหญ่ผิดกฎเกณฑ์สารพัดสารพันจะพึงมี ย่อมถือเป็นสถานการณ์ “ไม่ธรรมดา”

เพราะเรื่องนี้มีการแต่งตั้งมาตั้งแต่ 30 เม.ย.2562 แต่เพิ่งมาออกข่าวในช่วงที่สถานการณ์ในกรมปทุมวันดุเดือดเลือดพล่าน

ทั้งนี้ กรณีที่เกิดขึ้นนอกจากจะมีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหนาหูว่าน่าจะเป็นส่วนหนึ่งของ “ขบวนการล้มแป๊ะ” ในศึกชิงเก้าอี้ ผบ.ตร.คนถัดไปแล้ว สังคมและแวดวงตำรวจยังมีการนำไปเปรียบเทียบกับ “ทั่นนายพลคนดัง” อย่าง “บิ๊กโจ๊ก-พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล” อดีตผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง(สตม.) ด้วยอยากรู้ว่า “ใครกันแน่” ที่โตเร็วปานจรวด

กล่าวสำหรับกรณี “ผู้กอง ฮัท ชัยจินดา” นั้น ถูกกล่าวหาว่า มีการโยกย้ายผิดปกติ จากตำแหน่ง “รองสารวัตร” กองกำกับการ 3 กองบังคับการสนับสนุนทางอากาศ “กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน” ไปดำรงตำแหน่ง ผบ.ร้อย (สบ2) กองกำกับการ 3 กองบังคับการสนับสนุนทางอากาศ กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ทั้งที่ดำรงตำแหน่งรองสารวัตรไม่ครบ 7 ปี ตามกฎ ก.ตร.ว่าด้วยการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจ พ.ศ.2561

อย่างไรก็ดี เมื่อตรวจสอบ “คุณสมบัติ” และขั้นตอนการแต่งตั้งโยกย้าย “ผู้กองฮัท” ก็จะพบว่า มีความน่าสนใจไม่น้อย

แน่นอน เรื่องขั้นตอนการโยกย้าย “ไม่มีปัญหา” โดย พล.ต.ต.เดชา กัลยาวุฒิพงศ์ ผู้บังคับการกองทะเบียนพล (ผบก.ทพ.) อธิบายว่า กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ได้เสนอพิจารณาแต่งตั้ง ร.ต.อ.ชานันท์ ให้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น โดยให้เหตุผลว่า ร.ต.อ.ชานันท์ มีความรู้ความสามารถ มีความเชี่ยวชาญในการปฏิบัติหน้าที่ มีภาวะผู้นำและเป็นที่ยอมรับของผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชา โดยสำเร็จการฝึกอบรมหลักสูตรต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งเป็นหลักสูตรสำหรับผู้นำหน่วยปฏิบัติการพิเศษเพื่อรองรับภารกิจสำคัญของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมทั้งผ่านหลักสูตรต่อต้านการก่อการร้าย หรือนเรศวร 261 ประกอบกับ ร.ต.อ.ชานันท์ รักษาการตำแหน่งผู้บังคับกองร้อยมาเป็นเวลา 1 ปีเศษ ตั้งแต่ 25 มีนาคม 2561 ซึ่งในขณะที่ ร.ต.อ.ชานันท์ รักษาการในตำแหน่งดังกล่าวก็ได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ มีประสิทธิภาพ จนได้รับความไว้วางใจจากผู้บังคับบัญชาว่ามีความเหมาะสมที่จะได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งต่างๆ

ผู้กองฮัทขณะฝึกหลักสูตรต่างๆ
อย่างไรก็ดี เนื่องจากการแต่งตั้งดังกล่าว “ไม่เป็นไปตามกฎ ก.ตร.” สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงได้เสนอ ก.ตร. เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบการแต่งตั้งดังกล่าว ซึ่ง ก.ตร.มีมติเห็นชอบแต่งตั้งตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ สำหรับระยะเวลาการดำรงตำแหน่งรองสารวัตรไม่ครบ 7 ปี ไม่เป็นไปตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ในส่วนนี้ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้นำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณา ซึ่ง ครม.มีการประชุมเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2562 และมีมติอนุมัติการแต่งตั้งตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ

สรุปก็คือถูกต้องตามกฎหมายและระเบียบของทางราชการทุกประการ

ส่วนเรื่อง “คุณสมบัติ” ต้องบอกว่าน่าสนใจกล่าวคือ “ผู้กองฮัท”จบจากคณะเทคโนโลยีการจัดการ สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และปริญญาโท ที่ Bournemouth University ประเทศอังกฤษก่อนมาสมัครเป็นนายตำรวจ

เมื่อตัดสินใจเป็นตำรวจ “ผู้กองฮัท” เข้าอบรมหลักสูตรการฝึกอบรมข้าราชการตำรวจและบุคคลที่บรรจุหรือโอนเข้ามาเป็นข้าราชการตำรวจชั้นสัญญาบัตร รุ่น 37 เสร็จแล้วไปอบรมด้านเก็บกู้วัตถุระเบิดรุ่น 12 ก่อนบรรจุลงกองกำกับการ 3 กองบังคับการสนับสนุนทางอากาศ กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน สวมบท “นักรบพลร่มนเรศวร”

ทั้งนี้ ที่ผ่านมา “ผู้กองฮัท” ได้เข้าอบรมต่างๆ มากมาย อาทิ หลักสูตรต่อต้านการก่อการร้ายนเรศวร 261 รุ่นที่ 14 ประจำปี 2559, หลักสูตรกระโดดร่มสายกระตุกคงที่รุ่นที่ 218 ประจำปี 2559, หลักสูตรกระโดดร่มแบบกระตุกเองรุ่นที่ 1/2560 ประจำปี 2560, หลักสูตรสืบสวนหลังเหตุระเบิดจาก ILEA, หลักสูตรตำรวจตระเวนชายแดน ระดับผู้บังคับหมวด ตชด. รุ่นที่ 1/2561

ส่วนหลักสูตรจากสถาบันต่างประเทศ ได้แก่ 1.หลักสูตรอาจารย์ผู้สอนอาวุธปืนระบบ MCX, MPX, P320, DMR และหลักสูตรพลซุ่มยิงจากศูนย์ฝึก sig sauer academy ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา 2.ฝึกร่วมกับหน่วย The Australia Federal Police Specialist Response Group ณ ประเทศออสเตรเลีย 3.ฝึกร่วมกับหน่วย RAID Unit (France) ณ ประเทศฝรั่งเศส 4.ฝึกร่วมกับหน่วย 2nd Commando Regiment ณ ประเทศออสเตรเลีย จำนวน 3 ครั้ง 5.หลักสูตรสืบสวนหลังเหตุระเบิด ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา 6.หลักสูตร FBI National Academy 2019 ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา 7.หลักสูตร IMI Academy Sniper course 2019 ณ ประเทศอิสราเอล และ 8.เข้าร่วมการแข่งขันหน่วยปฏิบัติการพิเศษ ณ นครดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

“ผมอยู่ที่ค่าย ไม่มีแบ่งแยก ไม่ใช่ว่า ผมเป็นลูกผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผมอยู่กินกับลูกน้องเหมือนทุกคน กินเนื้อดิบ จับปลา ใช้ชีวิตติดดิน ยอมรับว่า ผมไม่อยากหวือหวา เดี๋ยวคนอื่นจะหมั่นไส้ ชอบทำตัวสบาย ๆ ”

“ทุกวันนี้ ผมก็เป็นตำรวจธรรมดา ไม่มีสิทธิพิเศษอะไร เหมือนกับทุกคน พ่อไม่ได้ช่วยผลักดันอะไร ผมอยู่แบบนี้ ผมสบายใจกว่า” ผู้กองฮัทให้สัมภาษณ์นิตยสาร Cop's Magazine

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตนายตำรวจที่ได้ชื่อว่าโตเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์กรมปทุมวัน
ทีนี้มาดูเส้นทางของ “ท่านนายพลหวานเจี๊ยบ” กันบ้างว่า “โตแบบก้าวกระโดด” มาอย่างไร

“บิ๊กโจ๊ก” เป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่นที่ 47 และถือเป็นนายพลตำรวจคนหนึ่งที่มีการเติบโตในตำแหน่งหน้าที่แบบก้าวกระโดด จนถึงขั้นมีการวิพากษ์วิจารณ์ว่า ต้องจับตาเพราะเป็นนายพลตำรวจคนแรกที่มีอายุราชการน้อยที่สุดตั้งแต่มีการก่อตั้ง “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” ด้วยวัยเพียง 42 ปีเท่านั้น ซึ่งถ้าหากไม่ถูก “ฟ้าผ่า” เสียก่อน ว่ากันว่า เก้าอี้ตัวสุดท้ายในชีวิตราชการของ “บิ๊กโจ๊ก” คงหนีไม่พ้น “ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ”

ทั้งนี้ เส้นทางของ “บิ๊กโจ๊ก” ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วนับตั้งแต่ปี 2557 จากตำแหน่ง “รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา” ต่อมาขยับขึ้นเป็น “ผู้บังคับการ-รองผู้บัญชาการและผู้บัญชาการ” แถมแต่ละตำแหน่งไม่ธรรมดา แม้จะอาวุโสอ่อนกว่าใครเพื่อน

ในช่วงปี 2557 โดย “บิ๊กอ๊อด-พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง” ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติในขณะนั้น มีคำสั่ง ตร.เลขที่ 542/2557 ให้ พ.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบก.จว.สงขลา ขึ้นเป็นรักษาราชการแทนผู้บังคับการประจำสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ทำหน้าที่ประสานนโยบายกับนายกรัฐมนตรี

อธิบายขยายความถึงภาระและหน้าที่ของตำแหน่งนี้ก็คือ เป็นนายตำรวจที่ “ลุงป้อม-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” ในฐานะประธานกตร. ไว้วางใจ เลือกไปช่วยประสานการทำงานร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กลายเป็นนายตำรวจติดตามใกล้ชิดตั้งแต่วันที่ 9 ตุลาคม 2557 และนับจากจากนั้นเป็นต้นมาก็เป็นที่รับรู้กันว่า “บิ๊กโจ๊ก” คือ “น้องรัก” ของ “พี่ป้อม” และกลายเป็นดาวจรัสแสงซึ่งโดดเด่นที่สุดในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

หลังจากนั้นไม่นานก็มีการแต่งตั้ง “นายพลนอกวาระแบบพิเศษ” กลางปี 2558 ไม่รู้ว่าบังเอิญหรือไม่ แต่เกิดขึ้นไม่กี่วันหลัง “บิ๊กโจ๊ก” มีคุณสมบัติอายุราชการบวกอายุทวีคูณครบหลักเกณฑ์การเลื่อนตำแหน่งพอดิบพอดี ในปี 2558 จึงได้เป็น พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล ตำแหน่งผู้บังคับการประจำฯที่รักษาการอยู่

ที่น่าสนใจก็คือ หลังจากนั้น ทหารได้ยกเลิกอายุราชการทวีคูณซึ่งตำรวจก็ยกเลิกสิทธินี้ด้วยในปี 2558 แล้วเพิ่มกฎว่า ผู้ที่จะเลื่อนชั้นจากรองผู้บังคับการเป็นผู้บังคับการ ต้องอยู่ในตำแหน่งเดิม 5 ปี ซึ่งส่งผลทำให้ไม่มีใครสามารถ “ไล่ทันโจ๊ก” และในวงการตำรวจใช้ศัพท์ว่า “ชักกะไดหนี”

และว่ากันว่า “บิ๊กโจ๊ก” น่าจะเป็นตำรวจใต้รุ่นสุดท้ายที่ได้รับการนับอายุราชการแบบทวีคูณเพื่อประโยชน์ในการนับอาวุโสในการแต่งตั้ง

จากผู้การประจำฯ ไม่กี่เดือน ในปี 2558 “บิ๊กโจ๊ก” ได้รับแต่งตั้งเป็น “ผู้บังคับการตำรวจท่องเที่ยว” ปี 2559 ขยับขึ้นเป็น “ผู้บังคับการตำรวจสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ หรือ 191” ปี 2560 บิ๊กโจ๊ก ผบก.191 ที่ “อาวุโสลำดับที่ 76” ได้รับการเสนอชื่อเป็น “รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล” ซึ่งที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ(ก.ตร.) เมื่อวันที่ 30 สิงหาคมเห็นชอบ

แต่เวลาผ่านไปเพียงสัปดาห์เดียว มีการประชุม ก.ตร. อีกครั้ง วาระแต่งตั้งผู้บัญชาการถึงผู้บังคับการ ในหน่วยงานตามการปรับโครงสร้างใหม่ กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ซึ่ง ก.ตร.เห็นชอบ พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ โยกไปนั่งเป็น “รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว”

ในครั้งนั้น มีการวิเคราะห์กันว่า ในอนาคต “บิ๊กโจ๊ก” น่าจะขยับขึ้นเป็นไปเป็น “ผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว” อย่างแน่นอน

ทว่า สุดท้ายก็ไม่เป็นไปตามนั้น เพราะ “บิ๊กโจ๊ก” ถูกโยกขึ้นไปเป็น “ผู้บัญชาการ” ที่เก้าอี้ตัวใหญ่กว่า นั่นก็คือ “ผู้บัญชาการตำรวจตรวจคนเข้าเมือง" ซึ่งถือเป็นหน่วยงาน “เกรดเอ” ซึ่งไม่ใช่ใครจะมานั่งได้ง่ายๆ แถมยังเป็นผู้บัญชาการอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ด้วยติดยศ พล.ต.ท. ด้วยวัยเพียง 48 ปีเท่านั้น

เห็นกันชัดๆ ว่า เส้นทางของบิ๊กโจ๊กนั้น ดำเนินไปในเส้นทาง “ฟาสต์แทร็ก” ทั้งสิ้น

อย่างไรก็ดี หลังถูก “ย้ายฟ้าผ่า” พ้นสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขาดจากความเป็นตำรวจ ไปนั่งตบยุงในเก้าอี้ที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นักบริหารระดับสูง) ชื่อของ “บิ๊กโจ๊ก” ก็เงียบหายไป ก่อนจะเกิด “คดียิงรถ” ที่ลุกลามกลายเป็นประเด็นใหญ่โตจน “ลุงตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมจะเชือดโหดด้วยการออกหนังสือเตือนอย่างเป็นทางการว่า “อย่าประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง” และตัดสินใจบินไป “บวช” ที่ประเทศอินเดีย

ถึงวันนี้ ไม่มีใครรู้ว่า อนาคตของ “บิ๊กโจ๊ก” นายตำรวจดาวรุ่งพุ่งแรงจะดำเนินไปในทางใด แต่ลึกๆ แล้วเชื่อกันว่า เขายัง “ไม่หมดฤทธิ์” ง่ายๆ อย่างแน่นอน

ขอขอบคุณภาพจาก ธานินทร์ จินดามณี และ Hello


กำลังโหลดความคิดเห็น