xs
xsm
sm
md
lg

หึ่ง!! "โจ๊ก หวานเจี๊ยบ" ลาราชการไปบวชที่อินเดีย หลังเจอคำสั่งตรงจากนายกฯ "ให้รักษาจรรยาและวินัยข้าราชการ" **เก่งสุดในโลก“วัฒนา”อวย“ทักษิณ”กินไก่โชว์ เรียกเชื่อมั่นไข้หวัดนก ขย่ม“ลุงตู่”สู้วิกฤตไวรัสโคโรนา อ่อนหัด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล
ข่าวปนคน คนปนข่าว



** หึ่ง!! "โจ๊ก หวานเจี๊ยบ" ลาราชการไปบวชที่อินเดีย หลังเจอคำสั่งตรงจากนายกฯ "ให้รักษาจรรยาและวินัยข้าราชการ"

"โจ๊ก หวานเจี๊ยบ" พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล นายตำรวจคนดัง ที่ได้ดิบได้ดี เติบโตพรวดพราด ตามสไตล์ที่วงการตำรวจเรียกกันว่า "ข้ามหัว ตั๋วแพง" ...แต่ชีวิตราชการตำรวจก็ได้หยุดลงเมื่อนายกฯ มีคำสั่งหัวหน้าคสช. ที่ 2/2562 ลงวันที่ 6 เม.ย.62 ให้ขาดจากการเป็นข้าราชการตำรวจ และให้โอนไปเป็นข้าราชการพลเรือน ในตำแหน่ง ที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี "ตามมาตรการแก้ไขปัญหาเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ระหว่างถูกตรวจสอบ" ... หลังจากนั้น"โจ๊ก" โลว์โปรไฟล์มาตลอด

"โจ๊ก" กลับมาเป็นข่าวใหญ่อีกครั้ง เมื่อเกิดเหตุการณ์คนร้าย 2 คน ขี่รถจักรยานยนต์ ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน ใช้อาวุธปืนยิงใส่รถยนต์ยี่ห้อเลกซัส สีขาว ที่ย่านบางรัก เมื่อค่ำวันที่ 6 ม.ค. 63 ซึ่งรถคันดังกล่าวเป็นรถของ "โจ๊ก" แต่เจ้าตัวไม่ได้อยู่ในรถ แต่อยู่ที่"โรงนวด"...

หลังเกิดเหตุ "โจ๊ก"ก็ออกมาแถลงว่า เหตุที่ถูกปองร้ายหมายชีวิต เพราะไปขัดขวางและแฉ ถึงความไม่ชอบมาพากลของการจัดซื้อ "ครุภัณฑ์เทคโนโลยีตรวจอัตลักษณ์บุคคลไบโอเมทริกซ์" ขณะดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และเรื่องนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบของป.ป.ท. ซึ่ง "โจ๊ก" จะต้องเข้าให้การในฐานะพยาน และยังบอกด้วยว่า เขารู้ว่าใครเป็นคนสั่งการอยู่เบื้องหลัง...

ขณะที่สังคมกำลังวิพากษ์วิจารณ์ถึงเรื่องนี้ ก็มี "คลิปเสียงปริศนา" หลุดว่อนโซเชียลฯ เนื้อความการสนทนา คล้ายกับเบรกใครบางคนไม่ให้เข้าไปยุ่งกับคดี "ยิงรถโจ๊ก" ทำให้มีการคาดเดากันว่า ใคร พูดกับใคร ...และใครเป็นคนเอาคลิปเสียงนี้ออกมาปล่อย

แล้วก็มีคำเฉลยออกมาเมื่อ "พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา" ลงนามในคำสั่งสำนักนายกฯ ที่ 22/2563 เมื่อวันที่ 24 ม.ค.63 ให้ "พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา" รอง ผบ.ตร. ไปปฏิบัติราชการ ที่สำนักนายกรัฐมนตรี โดยให้เหตุผลว่า "พล.ต.อ.วีระชัย มีพฤติการณ์และการกระทำซึ่งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ในการอำนวยความยุติธรรม กระทบต่อภาพลักษณ์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และการปฏิบัติราชการของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นเหตุให้ราชการเสียหาย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงตามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ"

พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา
การย้ายครั้งนี้ "บิ๊กแป๊ะ" พล.ต.อ. จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ยอมรับว่าเป็นผู้เสนอให้โยกย้ายเอง จากประเด็นการปล่อยคลิปเสียงสนทนา ระหว่างตนเองกับ พล.ต.อ.วิระชัย เกี่ยวกับคดีบุกยิง"รถโจ๊ก" ... เพราะถือเป็นความผิดที่รุนแรง

และในวันเดียวกันนั้น ยังมี "คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 1/2563" สั่งตรงจากนายกฯ ถึง โจ๊ก "ให้รักษาจรรยาและวินัยข้าราชการ" โดยเนื้อความในคำสั่ง บรรยายพฤติกรรมของ "โจ๊ก" ที่ต้องตักเตือน 2 ข้อ

1. ไม่กระทำการอันได้ชื่อว่า "เป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง" ไม่ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยทุจริต ไม่รายงานเท็จต่อผู้บังคับบัญชา ไม่ปฏิบัติราชการอันเป็นการกระทำการข้ามผู้บังคับบัญชาเหนือตน ไม่อาศัยตำแหน่งหน้าที่ราชการของตนหาประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่น ไม่ประมาทเลินเล่อในหน้าที่ราชการ ไม่ละทิ้งหรือทอดทิ้งหน้าที่ราชการ ไม่กระทำการอันเป็นการกลั่นแกล้ง กดขี่ ข่มเหงกันในการปฏิบัติราชการ ไม่ดูหมิ่น เหยียดหยามประชาชน

2. ปฏิบัติหน้าที่ราชการให้เป็นไปตามกฎหมาย กฎระเบียบ ของทางราชการ ด้วยความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้ อุทิศเวลาของตนให้แก่ราชการ "รักษาความลับของทางราชการ มีความสุภาพ เรียบร้อย" รักษาความสามัคคี ช่วยเหลือการปฏิบัติราชการระหว่างข้าราชการด้วยกัน และผู้ร่วมปฏิบัติราชการ ทั้งนี้ให้ข้าราชการดังกล่าวปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ แต่ให้งดการมอบหมายงานพิเศษ และสำคัญ และหากมีกรณีไม่รักษาจรรยา และวินัยข้าราชการ ให้ผู้บังคับบัญชาดำเนินการทางวินัยต่อไป

ความระหว่างบรรทัดของ 2 ข้อนี้ ถือว่าเป็นคำสั่งตักเตือนที่ "รุนแรงมาก"... เพราะนอกจากให้รักษาวินัย จรรยา ห้ามประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง แล้วยังให้ผู้บังคับบัญชา งดมอบหมายงานพิเศษ งานสำคัญ ให้รับผิดชอบด้วย !!

และในวันที่ "โจ๊ก" ได้รับคำสั่ง และเซ็นรับทราบคำสั่งนี้ เขาก็ยื่น "ใบลา" ถึงปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อขอลาพักผ่อน ระหว่างวันที่ 27 ม.ค.-9 ก.พ.63 เป็นเวลา 14 วัน

ล่าสุด มีรายงานข่าวว่า "โจ๊ก"ได้เดินทางไปประเทศอินเดีย (27ม.ค.) เพื่ออุปสมบท ที่วัดไทยพุทธคยา ประเทศอินเดีย เป็นเวลา 9 วัน ซึ่งคนใกล้ชิดระบุ ว่า การบวชครั้งนี้ ไม่เกี่ยวกับเรื่องการเมือง หรือเรื่องงาน แต่เป็นการบวชทดแทนพระคุณ บิดา-มารดา เนื่องจากยังไม่เคยบวชทดแทนพระคุณมาตั้งแต่เด็ก จึงถือโอกาสลาบวชในช่วงนี้

สำหรับชาวพุทธแล้ว การบวชเป็นเรื่องที่ควรแก่การ "อนุโมทนา" เพราะการบวชนั้น อาจทำให้คนรอบตัวของผู้บวช หรือตัวผู้บวชเอง เกิดความปีติ มีความสุข ...

แต่ก็มีคำพระท่านว่า...ไม่ว่าจะบวชตามประเพณี บวชแก้บน บวชหน้าไฟ บวชก่อนเบียด บวชล้างซวย ...ถ้าแค่โกนหัว ห่มผ้าเหลือง ท่องภาษาบาลีเช้าเย็น โดยไม่ได้ปฏิบัติ หรือไม่ได้วิปัสสนาเลย...ท่านว่าเป็นการบวชที่เสียเปล่า !!

**เก่งสุดในโลก“วัฒนา”อวย“ทักษิณ”กินไก่โชว์ เรียกเชื่อมั่นไข้หวัดนก ขย่ม“ลุงตู่”สู้วิกฤตไวรัสโคโรนา อ่อนหัด

วัฒนา เมืองสุข
จัดว่าใช้ประโยชน์จากความหวาดหวั่นน่าสะพรึงของสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธ์ใหม่ จากเมืองอู่ฮั่นประเทศจีนของประชาชน มาเป็นประโยชน์ทางการเมืองของฝ่ายตน แบบไม่แคร์ใคร

โดยเฟซบุ๊ก Watana Muangsookของ "วัฒนา เมืองสุข" แกนนำพรรคเพื่อไทย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ ในสมัยรัฐบาล "ทักษิณ ชินวัตร" โพสต์ข้อความ หยิบยกเอาการแก้ปัญหาในยุคทักษิณ มาเปรียบเทียบกับยุครัฐบาล "ลุงตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในเวลานี้ ซึ่งโอ่ว่า ทักษิณทำได้ผลสำเร็จแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง...

"เสี่ยไก่" ระบุว่า "วิกฤตแบบที่เกิดในรัฐบาลประยุทธ์ เคยเกิดในสมัยรัฐบาลทักษิณมาแล้ว แต่หนักกว่าหลายเท่า ไม่ว่าจะเป็นไข้หวัดนก ที่กระทบการส่งออก หรือไวรัสซาร์ส หรือ สึนามิ ที่กระทบการท่องเที่ยว ที่ต่างกันคือวิธีจัดการกับวิกฤตที่นายกฯทักษิณ จะนำทีมออกมาแก้ไขปัญหาแบบมืออาชีพ อย่างเป็นระบบ และรับผิดชอบต่อประชาชน

ผู้นำที่เก่งจะมีวิธีจัดการกับวิกฤต (crisis management)และสามารถแปรวิกฤตให้เป็นโอกาสได้เสมอ เช่น เมื่อปลายปี 2546 ที่เกิดสึนามิในไทย นายกฯทักษิณ ได้ใช้โอกาสดังกล่าวแสดงความสามารถในการจัดการกับปัญหาจนได้รับการยกย่องไปทั่วโลก และใช้เป็นโอกาสบอกชาวโลกให้รู้ว่า ประเทศไทยมีความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจแล้ว ด้วยการประกาศไม่ขอรับความช่วยเหลือทางการเงินจากประเทศใดทั้งสิ้น

ปัญหาการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ไม่ได้กระทบถึงความปลอดภัยในชีวิตของประชาชนอย่างเดียว แต่จะกระทบไปถึงด้านเศรษฐกิจที่แย่อยู่แล้วให้แย่หนักขึ้นไปอีก การที่รัฐบาลไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นและสื่อสารไม่เป็น จะทำให้ผู้คนไม่กล้าไปไหน และไม่เข้าห้าง เพราะกลัวติดหวัด

นั่นคือการท่องเที่ยวและการค้าจะหายนะตามไปด้วย ดูจากสถิติแล้วไวรัสโคโรนา ยังน่ากลัวน้อยกว่าการมีผู้นำโง่ เพราะคนไทยยังไม่มีใครตายเพราะไวรัสสายพันธุ์นี้ แต่ต้องมาฆ่าตัวตายเพราะพิษเศรษฐกิจ จากการมีผู้นำแบบนี้หลายคนแล้ว

เมื่อโพตส์ "อวยทักษิณขย่มลุงตู่" ของเสี่ยไก่แพร่ออกไป ก็มีหลายคนจำเหตุการณ์ที่ว่า ทักษิณโชว์ภาวะผู้นำแก้วิกฤตได้สำเร็จท้วงมาว่า เชื่อแบบนั้นจริงหรือ ?... ยกตัวอย่างไข้หวัดนก สถานการณ์ ณ ตอนนั้นพบว่ามีการปกปิดข้อมูล ปล่อยให้เชื้อแพร่ระบาดไปมากแล้วจนมีผู้เสียชีวิต รัฐบาลค่อยออกมายอมรับ ตามด้วยภาพถือซากไก่ กินไก่โชว์ เรียกความเชื่อมั่น ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมาก เพราะการแพร่ระบาดค่อยๆ คลี่คลายไปเองในเวลาต่อมา... "วัฒนา" คงไม่ได้คิดในมุมนี้ คนเขาก็ยังจำได้ คนไทยไม่ได้ลืมง่ายๆ

ทักษิณ ชินวัตร
ว่าไปแล้ว การโหนกระแสความไม่พอใจรัฐบาล มาขยี้ซ้ำของวัฒนาก็ไม่แปลก อาจจะปูเลี่ยนๆ ในการเชลียร์นายใหญ่ไปหน่อย เพราะ “ลุงตู่”ช่วงนี้ไม่รู้ไปทำอะไรไว้ ทำอะไรก็โดน... ไม่ทำอะไรก็โดน

กระแสโจมตีในโลกโซเชียลฯ สาดเสียเทเสียแบบอคติ ดรามา เพียงเพราะไม่ชอบ "ท่าที" จับผิดคำพูดมากกว่าดู "ข้อเท็จจริง" กลายเป็น ดิสเครดิตทุกอย่างของรัฐบาล แม้จะย้ำมาตรการในการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโคโรนา สำหรับความเชื่อของรัฐบาล คุมได้ 100% แต่ความวิตก โดยเฉพาะกรณีเด็กนักเรียนที่อู่ฮั่นร้องขอกลับบ้าน กลายเป็นประเด็นดรามา ที่รัฐบาลเสียคะแนนไปพอสมควร

ไม่รวมกับการดำเนินการของประเทศที่ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นเดียวกับไทย เช่น ญี่ปุ่น ได้ประกาศเป็น"วาระแห่งชาติ" และจะทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องสุขภาพของประชาชน ยิ่งถูกนำมาเปรียบเทียบกับรัฐบาลไทย ซึ่งการตอบของนายกฯ และรัฐมนตรีแต่ละครั้ง ยิ่งทำให้ผู้ฟังฟังแล้วเหมือนไม่มีความห่วงใยอะไรจากรัฐบาล

ไม่รู้ เพราะว่ากระแสโซเชียลฯ โจมตีร้อนแรงหรือไม่ "นายกฯลุงตู่" จึงออกแถลงการณ์ช่วงค่ำ ว่า หากสถานการณ์รุนแรง ก็มีความพร้อมในการรักษา ส่งต่อ และจัดตั้งพื้นที่ควบคุม รัฐบาลได้บูรณาการการทำงานร่วมกันของ กระทรวงคมนาคม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม รวมทั้งกรมประชาสัมพันธ์ ในการรับมือ ป้องกัน และสร้างการรับรู้ ที่ถูกต้อง แม่นยำ ให้กับประชาชนชาวไทย และชาวต่างประเทศ โดยได้เน้นย้ำการชี้แจงสถานการณ์ตาม“ข้อเท็จจริง” โดยไม่ปิดบังข้อมูลใดๆ

หน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ ความจริง และชีวิต - สุขภาพของประชาชน สำคัญที่สุด !!

ดรามา และความอคติ ยิ่งซ้ำเติมเหตุการณ์ไปกันใหญ่ .





กำลังโหลดความคิดเห็น