xs
xsm
sm
md
lg

ขายของเก่ากิน! “วัฒนา” ได้ทีขี่กระแส “ไวรัส โคโรนา” อวย “ทักษิณ” หลอกด่า “น่ากลัวน้อยกว่ามีผู้นำโง่”

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“วัฒนา” ได้ที ขี่กระแส “ไวรัส โคโรนา” ไล่บี้ “ลุงตู่” อวย “ทักษิณ” แก้ปัญหาแบบมืออาชีพ เป็นระบบและรับผิดชอบต่อประชาชน หลอกด่า “น่ากลัวน้อยกว่าการมีผู้นำโง่”

น่าสนใจเป็นอย่ายิ่ง วันนี้(27 ม.ค.63) เฟซบุ๊ก Watana Muangsook ของ นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ ในสมัยรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร

โพสต์ข้อความเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา อย่างน่าสนใจ ประเด็นสำคัญ เป็นการหยิบยกเอาการแก้ปัญหาในยุคทักษิณ มาเปรียบเทียบกับยุครัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในเวลานี้ว่า ผลสำเร็จแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

โดยระบุว่า “วิกฤตแบบที่เกิดในสมัยรัฐบาลประยุทธ์เคยเกิดในสมัยรัฐบาลทักษิณมาแล้ว แต่หนักกว่าหลายเท่า ไม่ว่าจะเป็นไข้หวัดนกที่กระทบการส่งออก หรือไวรัสซาร์ หรือสึนามิที่กระทบการท่องเที่ยว เป็นต้น

ที่ต่างกันคือ วิธีจัดการกับวิกฤตที่นายกฯทักษิณจะนำทีมออกมาแก้ไขปัญหาแบบมืออาชีพอย่างเป็นระบบและรับผิดชอบต่อประชาชน

ผู้นำที่เก่งจะมีวิธีจัดการกับวิกฤต (crisis management) และสามารถแปรวิกฤตให้เป็นโอกาสได้เสมอ เช่น เมื่อปลายปี 2546 ที่เกิดสึนามิในไทย นายกฯทักษิณได้ใช้โอกาสดังกล่าวแสดงความสามารถในการจัดการกับปัญหาจนได้รับการยกย่องไปทั่วโลก และใช้เป็นโอกาสบอกชาวโลกให้รู้ว่าประเทศไทยมีความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจแล้ว ด้วยการประกาศไม่ขอรับความช่วยเหลือทางการเงินจากประเทศใดทั้งสิ้น

ปัญหาการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ไม่ได้กระทบถึงความปลอดภัยในชีวิตของประชาชนอย่างเดียว แต่จะกระทบไปถึงด้านเศรษฐกิจที่แย่อยู่แล้วให้แย่หนักขึ้นไปอีก การที่รัฐบาลไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นและสื่อสารไม่เป็น จะทำให้ผู้คนไม่กล้าไปไหนและไม่เข้าห้าง เพราะกลัวติดหวัด นั่นคือการท่องเที่ยวและการค้าจะหายนะตามไปด้วย ดูจากสถิติแล้วไวรัสโคโรนายังน่ากลัวน้อยกว่าการมีผู้นำโง่ เพราะคนไทยยังไม่มีใครตายเพราะไวรัสสายพันธุ์นี้ แต่ต้องมาฆ่าตัวตายเพราะพิษเศรษฐกิจจากการมีผู้นำแบบนี้หลายคนแล้ว.

ก่อนหน้านี้(25 ม.ค.63) เฟซบุ๊ก Chaturon Chaisang ของนายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ อดีตรองนายกรัฐมนตรี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ในรัฐบาลทักษิณ และอดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ก็โพสต์ข้อความ ในทำนองหยิบยกความสำเร็จของการแก้ปัญหาสมัยรัฐบาล “ทักษิณ” มาข่มเช่นกัน

ระบุว่า “เมื่อดูจากระดับความรุนแรงของปัญหาไวรัสโคโรนา และการที่ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวจีนเข้ามามากและก่อนหน้านี้ก็เป็นจุดหมายปลายทางของชาวจีนจากอู่ฮั่นเป็นอันดับต้นๆด้วย รวมทั้งประเทศไทยมีผู้ป่วยมากเป็นอันต้นๆนอกประเทศจีน สิ่งที่รัฐบาลทำอยู่ในการรับมือกับไวรัสโคโรนา ยังไม่พอและไม่อาจไว้วางใจได้เลย

สิ่งที่รัฐบาลควรทำโดยด่วนคือ จัดให้มีการประสานร่วมมือกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรง รวมทั้งผู้เชี่ยวชาญทั้งของไทยเองและของต่างประเทศ เช่นผู้แทน WHO ต้องมีการประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อเนื่อง กำหนดมาตรการอย่างเป็นระบบและเป็นขั้นเป็นตอน ทั้งแก้ปัญหาเฉพาะหน้าและดักปัญหาล่วงหน้า

ภาพจากแฟ้ม
แต่ความจริงประเทศไทยเคยทำ (contingency plan หรือแผนฉุกเฉินรับการแพร่ระบาดแบบนี้ไว้ ผู้รู้และเชี่ยวชาญในการวางแผนวางระบบก็มี มีการกำหนดไว้อยู่แล้วว่าหน่วยงานไหนจะต้องทำอะไรตระเตรียมอะไร หากเชิญผู้เกี่ยวข้องมาคุยกันก็สามารถใช้เป็นตัวตั้งต้นได้เลย

จากประสบการณ์ในอดีต อาจจะตั้งคำถามเบื้องต้นว่าขณะนี้เตรียมห้องและอุปกรณ์รองรับคนไข้ที่สงสัยว่าติดเชื้อไวรัสโคโรนาทั่วประเทศไว้แล้วมากน้อยเพียงใด โรงพยาบาลต่างๆหรือหมอตามคลีนิคมีข้อมูลแล้วหรือยัง หลักเกณฑ์ในการปฏิบัติกำหนดแล้วและแจ้งผู้เกี่ยวข้องแล้วหรือยัง เหล่านี้เป็นตัวอย่างที่ต้องให้ผูเชี่ยวชาญช่วยกำหนดและวางแผน

รัฐบาลควรสร้างทีมที่มีหน้าที่ชี้แจงให้ข้อมูล มีศูนย์ข้อมูล ทำการชี้แจงอย่างเป็นระบบ มิฉะนั้นประชาชนหรือแม้แต่ผู้เกี่ยวข้องจะสับสนและไม่รู้ว่าควรเตรียมตัวอย่างไร ควรระวังอะไรหรือจะออกกฎกติกาอย่างไร

เฉพาะเรื่องหน้ากากอนามัยอย่างเดียวก็แสดงถึงความไร้สมรรถภาพของรัฐบาลในการรับมือทั้งฝุ่นPM2.5 และไวรัสโคนาแล้ว หน้ากากที่บางหน่วยงานแจกกันอยู่หรือที่ขายกันอยู่ใช้ได้ผลจริงหรือเปล่า เวลานี้ต้องใช้มากเพราะมีฝุ่นอยู่แล้ว รัฐบาลไม่ช่วยหา จะมีได้ยังไง ถ้าต้องใช้รับมือไวรัสอีกล่ะ จะไปหาจากไหน

การแก้ปัญหา #ฝุ่นPM2.5 และ #ไวรัสโคโรนา ที่รัฐบาลประยุทธ์ทำอยู่ ไม่ใช่การบริหารภายใต้วิกฤต ความไร้สมรรถภาพของรัฐบาลนี้และพล.อ.ประยุทธ์กำลังเป็นวิกฤตเสียเอง

โพสต์ของ วัฒนา และจาตุรนต์ ถ้าจะว่าไปแล้ว หนีไม่พ้นการเล่นเกมทางการเมือง โหนกระแสไวรัสโคโรนา และฝุ่นPM2.5 ซึ่งกำลังเป็นปัญหาใหญ่ในประเทศไทย มาโจมตีรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ เพื่อดิสเครดิตการแก้ปัญหาที่ยังไม่ประสบความสำเร็จก็ว่าได้

แต่ก็คงยากที่จะเปรียบกับยุครัฐบาลทักษิณอยู่ไม่น้อย และหลายประการ เช่น บริบททางการเมืองที่แตกต่างกัน เอกภาพทางการเมืองที่แตกต่างกัน เสถียรภาพรัฐบาลที่แตกต่างกัน

สิ่งเหล่านี้ ในยุค “ทักษิณ” ถือว่าเอาอยู่ ดังนั้นการประสานความร่วมมือแก้ไขปัญหา การสั่งการแก้ปัญหา ทุกอย่างเป็นใจหมด ตรงข้ามอย่างสิ้นเชิงกับปัจจุบัน ที่รัฐบาลเองก็แทบเอาตัวไม่รอดจากเกมการเมือง อย่าว่าแต่จะโดนฝ่ายค้านซักฟอก หรือ อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีในรัฐบาลเลย แม้แต่พรรคร่วมรัฐบาลด้วยกัน ก็ยังตีกันไม่เว้นแต่ละวัน ไม่ต่างอะไรกับวัยรุ่นหน้าเวทีหมอลำ ฯลฯ

และต้องไม่ลืมว่า ตัวปัญหาที่เกิดขึ้นก็แตกต่างกัน คงไม่มีใครคิดว่า วันนี้ประเทศไทยจะเกิดปัญหาฝุ่น PM2.5 อย่างรุนแรง และไม่รู้ว่า กว่าจะมาถึงวันนี้สะสมมาแต่สมัยไหน เคยคิด เคยแก้กันมาก่อนหรือเปล่า? ขณะเดียวกัน “ไวรัส โคโรนา” ก็เป็นเรื่องใหม่ ที่ยากต่อการรับมือและทำความเข้าใจกับประชาชนเช่นกัน

สุดท้าย อยู่ที่ว่า คนไทยต้องช่วยกัน ไม่ฝากความหวังไว้แต่รัฐบาล หรือ โยนผิดให้แต่รัฐบาล โทษแต่รัฐบาล ใช้รัฐบาลเป็นที่รองรับอารมณ์ถ่ายเดียว ก็ยิ่งซ้ำเติมปัญหาเข้าไปใหญ่ โดยเฉพาะนักการเมืองฝ่ายค้าน ต้องไม่ทำตัวเสมือน “มือไม่พาย เอาเท้าราน้ำ” ก็จะดีไม่น้อย

ชื่นชมความสำเร็จในอดีตได้ แต่จะเอามาเป็นเครื่องบั่นทอนกำลังใจคนที่กำลังทำงานอยู่ ย่อมไม่สมควรอย่างยิ่ง หรือว่าไม่จริง!


กำลังโหลดความคิดเห็น