วันนี้ (29 ม.ค.) ที่ห้องพิจารณา 813 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดพร้อมคู่ความคดีดำ อ.3055/2562 ที่พนักงานอัยการคดีอาญา 9 เป็นโจทก์ฟ้อง นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตประธานยุทธศาสตร์พรรคไทยรักษาชาติ อดีตแกนนำพรรคเพื่อไทย เป็นจำเลยในความผิดฐานฝ่าฝืน ขัดคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ฉบับที่ 37/2557, พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14(3)
กรณีวันที่ 27 พ.ค. 2557 จำเลยได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนทั้งต่อต้านการเข้าควบคุมอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) โดยให้ประชาชนเห็นว่า การเข้าควบคุมอำนาจของ คสช. เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และคำสั่งหรือประกาศ คสช. ก็ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ทำให้ประชาชนการกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำเพื่อให้ประชาชนทั่วไปต่อต้านการคุมอำนาจของ คสช. เป็นการยั่วยุปลุกปั่นทำลายความน่าเชื่อถือของคณะ คสช.เพื่อให้เกิดความปั่นป่วน กระด้างกระเดื่องถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116, 368, 91 พ.ร.บ.เกี่ยวกับการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอรฯ พ.ศ. 2550 มาตรา 14
โดยวันนี้ นายจาตุรนต์ เดินทางมาศาล พร้อมด้วย นายนรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ นายกสมาคมทนายความแห่งประเทศไทยซึ่งเป็นทนายความให้จำเลย
เมื่อถึงเวลานัด อัยการโจทก์และทนายความจำเลย แถลงว่า คู่ความทั้งสองฝ่ายไม่มีข้อเท็จจริงที่ใดสามารถรับกันได้ โดยอัยการโจทก์จะขอดำเนินการสืบพยานต่อจากพยานเดิมที่เบิกความไว้กับศาลทหารแล้วจำนวน 2 ปาก โดยยื่นระบุบัญชีพยานที่จะนำสืบ เช่น เจ้าพนักงานตำรวจที่ตรวจสอบการแถลงข่าวของจำเลย, เจ้าหน้าที่แปลภาษา, เจ้าหน้าที่วิเคราะห์ข้อความแถลงข่าวที่โพสต์ลงในเฟซบุ๊ก และ พนักงานสอบสวน จำนวนทั้งหมด 18 ปาก ใช้เวลา 10 นัด ขณะที่ฝ่ายจำเลยแถลงขอนำพยานเข้าสืบหักล้าง ประกอบด้วย นายจาตุรนต์ จำเลยที่ได้อ้างตนเองเป็นพยานปากแรก, นักวิชาการที่ให้ความเห็นทางข้อกฎหมาย ความเห็นด้านความมั่นคง ความเห็นทางการเมืองในขณะนั้น และเจ้าหน้าที่ตรวจสอบข้อความที่โพสต์ในเฟซบุ๊ก จำนวนทั้งหมด 16 ปาก ใช้เวลา 10 นัด ศาลพิจารณาแล้วอนุญาตโดยนัดสืบพยานโจทก์ครั้งแรกวันที่ 5 พ.ย.นี้ เวลา 09.00 น.
ภายหลัง นายจาตุรนต์ ให้สัมภาษณ์ว่า ศาลได้กำหนดวันนัดสืบพยานและให้พิจารณาคดีต่อเนื่อง สำหรับคดีนี้ใช้เวลาพิจารณาจากศาลทหารมาแล้วกว่า 5 ปี โดยมีการสืบพยานโจทก์ไปแล้ว 2 ปากเท่านั้น หลังจากนี้ จะมีการยื่นคำร้องเพื่อขอใช้สิทธิ์ขอความเป็นธรรมในฐานะจำเลย ชี้แจงถึงความเป็นมาของคดีนี้ ว่า คดีที่ตนโดนไม่ใช่คดีปกติ เพราะการที่ตนโดนฟ้องคดีขึ้นศาลทหาร ไม่ได้เกิดจากการที่ คสช.เห็นตนกระทำความผิดจึงมีการตั้งข้อหา แต่ทางทหารและคสช.ต้องการที่จะนำตัวตนขึ้นศาลทหาร ยืนยันว่า ตนเองไม่ได้กระทำผิด