“สอดแนมการเมือง”
“ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย”
ประธานาธิบดีแดนมังกร สี จิ้นผิง ได้พูดถึงปรัชญาการปกครองว่า..
“ภัยใหญ่หลวงที่สุดของแผ่นดินและมิบังควรที่สุดคือ การได้ชื่อว่า บ้านเมืองสงบสุขดีปราศจากเรื่องราว แต่ความเป็นจริงแล้ว ยังมีภัยที่คาดไม่ถึงแฝงอยู่ เอาแต่นั่งดูความเปลี่ยนแปลงของภัยโดยมินำพา ถ้าเป็นเช่นนี้เกรงว่า ในที่สุดแล้วคงเยียวยามิได้”
สี จิ้นผิง ยังเตือนเจ้าหน้าที่ระดับบริหารอยู่เสมอว่า “ผู้ทรงปัญญาจะคาดการณ์ล่วงหน้าได้ก่อนเกิดเหตุ” นั่นหมายถึงต้องรู้จักวิตกกังวลอย่างลึกซึ้ง และวางแผนแก้ไขตั้งแต่เหตุยังไม่เกิด
ส่วนการวางยุทธศาสตร์ในอนาคตควรทำอย่างไรนั้น สี จิ้นผิงได้กล่าวไว้ว่า “อะไรก็ตามที่เรามองเห็นอยู่แล้ว ต้องทำความเข้าใจให้ลึกซึ้ง และเตรียมการแต่เนิ่นๆ จะได้รับมือโดยไม่ฉุกละหุก อะไรก็ตามที่ยังมองออกได้ยาก ก็ต้องติดตามสถานการณ์ เตรียมการให้พร้อม และรับมืออย่างยืดหยุ่นคล่องตัว”
ทว่า..เพราะไม่รู้-เพราะไม่เตรียมการ-เพราะแก้ปัญหาช้าไม่ทันการณ์ ทำให้ “ไวรัสโคโรนาอู่ฮั่น” ระบาดบานปลาย กลายเป็นเรื่องใหญ่ทั้งต่อจีนและชาวโลก โดยชาวจีนติดเชื้อ “ไวรัสโคโรนา” กว่า 2 หมื่นคน มีผู้เสียชีวิตไปแล้วหลายร้อยคน อีกทั้ง “ไวรัสโคโรนา” ยังระบาด “ผ่านคน” แพร่กระจายออกไปอีกร่วมสามสิบประเทศแล้ว (ณ 18.00 น.วันที่ 5 กพ. 2563)
ทั้งยังมีแนวโน้มว่า ทางการจีนจะพิชิต “ไวรัสโคโรนา” ไม่ได้ในเร็ววัน ด้วยชาวจีนยังคงติดเชื้อกับยังล้มตายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ รวมทั้งมีข่าวว่า นายกเล็กเมืองอู่ฮั่น ที่เป็นศูนย์รวมของ “เชื้อไวรัสโคโรนา” จะลาออกจากตำแหน่ง เพราะจัดการกับ “ไวรัสโคโรน่า” ช้าเกินไป อีกทั้งแก้ปัญหาไม่ได้ดีเท่าที่ควรด้วย
อย่างไรก็ตาม..วันนี้ทางการจีนได้ “เนรมิต”โรงพยาบาลนับพันเตียง เสร็จภายใน 10 วัน และกำลังจะ “เนรมิต”โรงพยาบาลเพิ่มขึ้นอีก 1 แห่ง อีกทั้งยังระดมแพทย์กับพยาบาล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของจีน มาทำงานกันชนิดหามรุ่งหามค่ำ เพื่อร่วมแรงร่วมใจพิชิต “ไวรัสโคโรนา” ให้หมดไปจากชาติจีน และไม่ให้แพร่เชื้อร้ายไปสู่โลก..
ปรัชญาบริหารชาติของ สี จิ้นผิง เคยถูกส่งถึงข้าราชการจีนทุกระดับชั้นว่า ต้อง “ขจัดความทุกข์ร้อนของราษฎร ดุจดังขจัดโรคร้ายของตนเอง”
งานนี้..จึงขอส่งกำลังใจให้ชาวจีนทุกคน สู้!-สู้!-สู้! เพื่อพิชิต “ไวรัสโคโรนา” ให้ได้โดยเร็วที่สุด!
ส่วนสถานการณ์ “ไวรัสโคโรนา” ในไทยนั้น “อนุทิน ชาญวีรกูล” รมว.ก.สาธารณสุข กับแพทย์ไทย และเจ้าหน้าที่ทางการที่เกี่ยวข้อง ทำงานกันอย่างเข้มแข็งทั้งรุกและรับ จนแพทย์ไทยสามารถควบคุม “ไวรัสโคโรนา” มิให้ทำร้ายทำลายผู้คนได้ตามใจชอบ อีกทั้งแพทย์ไทยก็รักษาผู้ติดเชื้อทั้งชาวจีนและชาวไทย เยียวยาจนผู้ป่วยหลายรายหาย คืนสู่สภาพปกติและได้กลับบ้านแล้ว..
ล่าสุด..รัฐบาลไทยได้ส่งเครื่องบิน “แอร์เอเชีย” ไปรับคนไทยร้อยกว่าชีวิตจาก “อู่ฮั่น” สู่ “อู่ตะเภา” โดย “หมอหนูอนุทิน” ไปดูแลความเรียบร้อยถึงพื้นที่ “เก็บตัว” อันเป็นที่ตั้งฐานทัพเรือของกองทัพเรือไทย
ด้วยความสามารถของแพทย์ไทย เชื่อว่า..คนไทยทั้งหมดที่มาจากจีน จะต้องปลอดภัยจาก “ไวรัสโคโรนา” แน่นอน
งานปกป้อง-สกัด-พิชิต “ไวรัสโคโรน่า” ครั้งนี้ “บิ๊กตู่” โชคดีที่ได้ “หมอหนู” เป็น รมว.ก.สาธารณสุข เพราะ “หมอหนู” ทำงานเข้าขากับบรรดาแพทย์ในกระทรวงนี้ได้ดี ชนิดเป็นปี่เป็นขลุ่ย อีกทั้ง “หมอหนู” ยังเปิดใจรับฟังผู้มีความรู้อยู่เสมอ มีภาวะผู้นำสูง กล้าตัดสินใจ กล้ารับผิดชอบ เมื่อเกิดผิดพลาด “หมอหนู” ก็กล้า “ขอโทษ ”โดยไม่บ่ายเบี่ยงด้วย
ชาวไทยจึงขอให้กำลังใจ “หมอหนูอนุทิน” และแพทย์ไทย รวมทั้งข้าราชการกับเอกชนทุกคน ที่ช่วยกันทำงานอย่างแข็งขัน ในการป้องกัน “ไวรัสโคโรนา” ให้ชาติไทยอยู่ในขณะนี้
แต่ที่ร้ายกว่า “ไวรัสโคโรนา” ในยามนี้ ก็คือ “ไวรัสเฟกนิวส์” ที่ระบาดหนักไปทั่วโลก แน่นอน..รัฐบาล “บิ๊กตู่” ก็หนีไม่พ้นถูก “ไวรัสเฟกนิวส์” รุมถล่ม ทั้งนี้เพราะวิธีคิดกับวิธีทำงานของ “บิ๊กตู่” มีจุดอ่อนอยู่อย่างมากมาย ทำให้ “คนชั่วโดยสันดาน” ปล่อย “ไวรัสเฟกนิวส์” รุมรุกไล่ใส่รัฐบาล “บิ๊กตู่” อย่างหนักอยู่ตลอดเวลา..
ไม่ว่ารัฐบาล “บิ๊กตู่” จะจับกวาดล้างเช่นไรก็ไม่มีหมดสิ้น ด้วย “ไวรัสเฟกนิวส์”ต้องแก้ด้วยผลงานที่ดีเป็นหลัก การใช้ “วัคซีนผลงานดี(จริง)”อย่างเปิดเผย จะประจานและทำลาย “ไวรัสเฟกนิวส์” ให้สูญพันธุ์ได้ โดยผสานไปกับการ “ลงโทษทางกฎหมาย” อย่างรุนแรง ฯลฯ
ทว่าน่าเสียดาย..ที่ “บิ๊กตู่” ไร้ผลงานแก้ต้นเหตุปัญหาชาติในเรื่องสำคัญๆ เช่น ไม่ปราบคนโกงชาติจริงจัง! ไม่ลดความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยกับคนจนจริงจัง! ไม่ปฏิรูปชาติมิติสำคัญต่างๆ โดยเฉพาะไม่ปฏิรูปการเมืองชาติแม้แต่น้อย ฯลฯ
นั่นทำให้ “กลุ่มคนชั่ว ”ยังคงปล่อย “ไวรัสเฟกนิวส์” พุ่งเข้าใส่รัฐบาล “บิ๊กตู่”ได้แบบรัวๆไม่ขาดสาย จน “บิ๊กตู่”โมโหโกรธาครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้ภาพพจน์นายกฯ“บิ๊กตู่” ของชาติไทย กลายเป็นมนุษย์อารมณ์เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย..
ยิ่งห้วงฝ่ายค้านกำลังจะเปิดอภิปรายฯรัฐบาล โดยมีเป้าหมายโจมตี “บิ๊กตู่” เป็นหลัก ส่วน “บิ๊กป้อม-บิ๊กป๊อก-บิ๊กณุ-บิ๊กดอน-บิ๊กนัส” นั้น ฝ่ายค้านถือเป็นเพียงตัวประกอบเท่านั้น แถม “ฉลามเฉลิม”
ที่ “บิ๊กเหลี่ยม” ส่งมาเป็น “แม่ทัพใหญ่” บัญชาการศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล “บิ๊กตู่” มักออกมาแถลงด้วยลีลาก้าวร้าวข่มขู่รัฐบาลอยู่ทุกวี่วันว่า..
“บิ๊กตู่” บริหารชาติผิดพลาดมาตลอด นับตั้งแต่ทำรัฐประหารจรดปัจจุบัน ทำให้ชาติและประชาชนไทยเดือดร้อนยากจนไปทั่วทุกหย่อมหญ้า “ฉลามเฉลิม” ยังฟันธงด้วยเสียงแข็งกร้าวว่า หลังการอภิปรายฯ “บิ๊กตู่” จะอยู่ในตำแหน่งนายกฯ ไม่ได้อีกแล้ว ถ้ายังดันทุรังอยู่ต่อก็เพราะ “บิ๊กตู่” หน้าด้านเท่านั้น-ว้าว!
เวทีอภิปรายฯรัฐบาล“บิ๊กตู่” ยังไม่เกิด แต่ “ฉลามเฉลิม” ก็ทำให้ “บิ๊กตู่” ที่ไม่เคยโดนอภิปรายฯ ซักฟอกในสภาฯมาก่อน เกิดอาการเครียดขึ้นมาโดยปริยาย
แต่ฟันธงไว้ตรงนี้ได้เลยว่า เมื่อถึงวันเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ แค่ “บิ๊กตู่” ทำจิตให้นิ่งสงบ อย่างไรเสีย เสียง สส.ข้างมากในสภาฯของรัฐบาล ก็จะยกมือ “พายเรือแป๊ะตู่” ให้แล่นต่อไปได้อย่างแน่นอน..จริงไหม?
ศึกภายนอกของฝ่ายค้านไม่เคยล้มรัฐบาลได้ แต่ศึกภายในกลับล้มรัฐบาลมานักต่อนักแล้ว!
โดยเฉพาะคนใกล้ชิดกับ “ผู้มีอำนาจบางคน” มักจะยุแยงตะแคงรั่ว เสี้ยมให้ “เพื่อนพ้องน้องพี่” ที่เคยรัก เคยร่วมเป็นร่วมตายกันมา กลับมาทะเลาะเบาะแว้งชนิดเอาเป็นเอาตาย..
สภาวะศึกนอกประชิดตัว “ผู้มีอำนาจทุกคน” ต้องใจนิ่ง ต้องเที่ยงธรรม ต้องไม่“หูเบา” และ “ละโมบ” ในอำนาจและผลประโยชน์ จนมองข้ามความถูกต้องชอบธรรม มิฉะนั้นจะโดน “คนใกล้ชิดสนิทสนม” หลอกต้มในเรื่องข้อมูลข่าวสารที่ไร้ความจริง ปั่นหัวจน “ตีกันเอง” โดยกลุ่มคนใกล้ชิดเหล่านั้นนั่นแหละ ที่มักจะมีและได้ผลประโยชน์เข้าตัวเองและพวกพ้อง..
ดังแผนการจะโค่นล้ม “ตร.ใหญ่บางคน” ในยามนี้ เพื่อหนุนให้ “ตร.ใหญ่อีกคน” ขึ้นมาแทนที่ โดยมีอดีต “ตร.มากมลทินเส้นใหญ่” ที่เคยทำผิดจนต้องออกจากราชการตำรวจ ถูกเด้งไปอยู่นอกองค์กรผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ในวันนี้ โดยมีสื่อใหญ่บางค่ายหนุนหลังแผนร้ายนี้อย่างเปิดเผย..
ถ้า “บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม-บิ๊กป๊อก” รู้เท่าทันเล่ห์ร้ายนี้ ต้องบอกให้ “คนใกล้ตัว”เหล่านั้น ยุติการให้ร้ายป้ายสีกันและกันโดยไว ต้องยุติ “ผู้มีอำนาจบางคน” ทำเรื่องเลวร้ายต่างๆ เช่น การแอบส่งข้อมูลให้ฝ่ายค้าน เพื่อใช้โจมตี “บิ๊กตู่”โดยตรง
งานนี้..ยังอาจมีการใช้ “ขาโจ๋องค์กรอิสระบางแห่ง” เป็นเครื่องมือทำบางเรื่อง เพื่อเปิดทางให้ฝ่ายค้านได้อภิปรายฯถล่ม “บิ๊กตู่” ชนิดถึงไม่ตายก็เลี้ยงไม่โต..
เฮ้อ..เพราะ “หยิกเล็บย่อมเจ็บเนื้อ” ทุกฝ่าย เช่น “หยิก ต.ก็เจ็บถึง ป.-หยิก ป.ก็เจ็บถึง ต.”!
“ไวรัสโคโรนาอู่ฮั่น” นั้นร้ายกาจนัก! แต่ “ไวรัสนักการเมืองเลว” ร้ายกาจยิ่งกว่า..จริงไหม..?